RSS

Tag Archives: ธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

ละครธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละครธรณีนี่นี้ใครครอง อ่านเรื่องย่อละครทั้งหมด
ละครธรณีนี่นี้ใครครองทางช่อง 3 เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

Image

ธรณีนี่นี้ใครครอง ละครธรณีนี่นี้ใครครอง ละครช่อง3

ธรณีนี่นี้ใครครอง บทประพันธ์ : กาญจนา นาคนันทน์
ธรณีนี่นี้ใครครอง บทโทรทัศน์ : ปารดา กันตพัฒนกุล
ธรณีนี่นี้ใครครอง กำกับการแสดง : ป้าแจ๋ว – ยุทธนา ล.พันธ์ไพบูลย์
ธรณีนี่นี้ใครครอง แนวละคร : โรแมนติค ดราม่า
ธรณีนี่นี้ใครครอง ผลิต : บริษัทโนพรอบเล็มจำกัด โดย ธิติมา สังขพิทักษ์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ออกอากาศ : *ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30 น.
ธรณีนี่นี้ใครครอง ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก ศุกร์ที่ 29 มิถุนายน นี้

เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

เมื่อ อาทิจ (ณเดชน์ คูกิมิยะ) เรียนจบวิทยาลัยเกษตร เขาตัดสินใจไม่เรียนต่อ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้น้องๆได้เรียนบ้าง หลังจากที่น้องๆ ได้เสียสละหยุดเรียนเพื่อให้เขาได้เรียนมาแล้ว อาทิจเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวของ ประวิทย์ ปลัดอำเภอผู้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และ พูนทรัพย์ แม่ค้าและแม่บ้านที่แสนจะขยันขันแข็ง อาทิจมีน้องเก้าคน เขาจึงมีความจำเป็นต้องหางานทำให้เร็วที่สุด เพื่อจะนำเงินมาส่งเสียน้องๆช่วยพ่อแม่อีกทาง

อาทิจไม่คิดที่จะทำงานราชการอย่างพ่อ เขาใฝ่ฝันที่จะมีที่ดินเป็นของตัวเองสักแปลงเพราะต้องการใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมาให้เกิดประโยชน์ พ่อตัดสินใจส่งตัวเขากลับไปหา ย่าแดง (ดวงตา ตุงคะมณี) เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ในอดีตพ่อซึ่งเป็นลูกชายคนโต ได้ขโมยเงินย่าแดงหนีออกจากบ้าน เพราะไม่ต้องการทำงานหนักในไร่

ย่าแดงยินดีต้อนรับอาทิจเพราะในจำนวนลูกหลานทั้งหมด ต่างก็เป็นหลักเป็นฐานไปหมดแล้ว ไม่มีใครรับช่วงงานในไร่ซึ่งมีมหาศาลทำต่อ อาทิจรับเงื่อนไขของย่าคือต้องทำงานที่สวนโดยไม่ได้รับเงินเดือน แลกกับการที่ย่าจะส่งเสียน้องๆ เรียนต่ออย่างเต็มใจ เพราะนอกจากจะได้ทำงานที่ตัวเองรักแล้ว น้องๆยังได้เรียนต่อและที่สำคัญที่สุดคือ เขาต้องการไถ่โทษให้พ่อสำหรับเรื่องในอดีตที่ผ่านมา

อาทิจทำงานที่สวนอย่างขยันขันแข็ง ย่าแดงเห็นว่าอาทิจมีความมุมานะและตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง จึงมอบที่ดินที่ยังไม่ได้บุกเบิกให้อาทิจ ๑ ไร่ เพื่อใช้ปลูกผักตามที่อาทิจต้องการ นั่นทำให้ ดรุณี (อุรัสยา เสปอร์บันด์) น้องสาวคนสุดท้องของย่าแดง ซึ่งไม่ถูกชะตาและเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาทิจตลอดเวลาอยู่แล้ว เหม็นขี้หน้าอาทิจหนักขึ้นไปอีก
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะดรุณีมีปมในใจกลัวว่าอาทิจจะมาแย่งความรักจากย่าแดงไป เธอรู้ความจริงว่าเธอเป็นเพียงลูกที่เกิดจากเมียคนสุดท้ายของพ่อย่าแดง และพ่อของย่าแดงก็ไม่ใช่พ่อเธอ เธอจึงไม่ได้มีสายเลือดผูกพันกับย่าแดงเลยแม้แต่น้อย ย่าแดงเอาเธอมาเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะเพียงเพราะสงสาร ซึ่งต่างจากอาทิจที่เป็นสายเลือดของคุณย่าโดยตรง ดรุณีจึงคอยหาเรื่องอาทิจ ในขณะที่อาทิจเองก็ไม่ยอมลงให้ดรุณี เพราะเห็นว่าดรุณีไม่มีเหตุผล แถมยังเอาแต่ใจตัวเองและชอบทำตัวเป็นเด็ก ทั้งคู่ทะเลาะตอบโต้กันทุกครั้งที่มีโอกาส ทำให้ย่าแดงปวดหัวไม่น้อยที่หลานรักทั้งสองไม่ลงรอยกัน

อาทิจตั้งใจทำงานพัฒนาสวน และอยากทดลองปลูกผักผลไม้หลายๆอย่างตามประสาเด็กหนุ่มไฟแรงแต่ความที่เป็นคนต่างถิ่นและไม่คุ้นเคยกับพืชพันธุ์บางอย่างทำให้อาทิจไปขุดเอาหน่อกล้วยป่ามาปลูกในไร่ที่บุกเบิกใหม่ ดรุณีและไพฑูร (เบญจพล เชยอรุณ) ซึ่งเป็นหลานห่างๆ ของย่าแดงรู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก แต่ไม่มีใครทักท้วงอาทิจแถมยังสั่งห้ามคนงานในไร่บอกความจริงอาทิจ เพราะหวังจะให้อาทิจเสียหน้า

อาทิจมารู้ความจริงว่า ตัวเองเอากล้วยป่าซึ่งนำไปขายไม่ได้เลยมาปลูก ก็เมื่อเขาปลูกมันเสร็จเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง เสียหน้าและเจ็บใจเหมือนตัวเองผลัดหลงเข้ามาอยู่ในที่ที่มีแต่คนแปลกหน้าจึงหันไประบายกับเหล้า หวังจะให้เหล้าช่วยทำให้ลืมความเจ็บปวดในใจได้บ้าง แต่ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก เมื่อเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองเสียท่าทองประศรี ลูกสาวเจ้าของร้านขายของชำทองประศรีโวยวายว่าอาทิจข่มเหงเธอ และขอให้อาทิจรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น

อาทิจป่วยหนัก ย่าแดงจึงลงโทษดรุณีให้หญิงสาวดูแลอาทิจเป็นการตอบแทน ด้วยการเช็ดตัว จัดยา ทำกับข้าว กวาดถูบ้านหรือแม้แต่ซักผ้า ดรุณีจำต้องกัดฟันทำทุกอย่างให้ชายหนุ่ม เพราะลึกๆในใจ หญิงสาวก็รู้สึกผิดที่ทำให้อาทิจต้องป่วยหนัก

เมื่ออาทิจอาการดีขึ้น ความเก่าก็รุกเข้ามารุมเร้าเขาเมื่อ สิงห์ทอง (ศานติ สันติเวชกุล) และ คำมา (ศิรินุช เพชรอุไร)พ่อแม่ของทองประศรีพาหญิงสาวมาเอาเรื่องอาทิจ และบังคับให้อาทิจรับลูกสาวเป็นเมีย อาทิจต้องฝืนใจแต่งงานกับทองประศรีเพราะ วิไลลักษณ์ (รุ้งทอง ร่วมทอง) ที่เป็นภรรยาของ ประเวทย์ (เวนย์ ฟอลโคเนอร์) ซึ่งเป็นผู้ว่าฯและมีศักดิ์เป็นอาของอาทิจ มาเกลี่ยกล่อมให้อาทิจเห็นแก่ย่าแดงและหน้าที่การงานของญาติๆทุกคน ย่าแดงจัดการแต่งงานให้อาทิจกับทองประศรีตามสมควรแก่ฐานะ เข้าทางวิไลลักษณ์ที่ต้องการกำจัดอาทิจออกไปให้พ้นทาง เวทางค์ (วิวิศน์ บวรกีรติขจร) ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เพราะต้องการให้ลูกชายลงเอยกับดรุณีเพื่อหวังมรดกก้อนโตของย่าแดง

ย่าแดงเสียใจเรื่องอาทิจอย่างที่สุด เพราะเคยหวังไว้ว่าหากอาทิจกับดรุณีรักและลงเอยกันได้ ก็จะมีคนสืบทอดอาชีพเกษตรกร และมีคนทำกินบนผืนดินที่ตนเองรักสืบไป แต่เมื่อเรื่องมันไม่เป็นอย่างที่ฝันไว้ ย่าแดงจึงได้แต่ทำใจ ในขณะที่ดรุณีเองก็รู้สึกผิด หญิงสาวรู้ว่าความยุ่งยากทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเธอคนเดียวแท้ ๆ ที่เป็นต้นเหตุ

ทองประศรีย้ายมาอยู่ที่บ้านพักของอาทิจ อาทิจตัดปัญหาด้วยการย้ายออกมาอยู่ที่บ้านพักคนงานและตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งานโดยบุกเบิกทำไร่ข้าวโพดและกะหล่ำปลี โดยมีย่าแดงสนับสนุนในเรื่องทุนและลงมาช่วยดูแลอย่างเต็มที่ รวมทั้งดรุณีที่ลงมาช่วยปลูกผักช่วยรดน้ำด้วยตัวเอง

อาทิจและดรุณีเริ่มพูดกันดีๆมากขึ้น แต่ก็ยังมีทองประศรีและเวทางค์คอยเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งดรุณีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้และต้องแยกไปเรียนที่กรุงเทพฯ กับเวทางค์ และวิยะดา น้องสาวเวทางค์ ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะแน่นแฟ้นขึ้นก็มีอันต้องห่างหายกันไป แต่ก็ไม่ถึงกลับขาดจากกันซะทีเดียวเพราะย่าแดงจะใช้ให้อาทิจคอยเขียนจดหมายและตอบจดหมายดรุณีที่มีมาเสมอ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://drama.tlcthai.com/41631

ดูละครธรณีนี่นี้ใครครองย้อนหลัง ทั้งหมดที่นี่

ละครย้อนหลัง > ละครย้อนหลังช่อง3 >  ธรณีนี่นี้ใครครอง

 

Tags: , , , , , , , , , , , , ,

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

ละครธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละครธรณีนี่นี้ใครครอง อ่านเรื่องย่อละครทั้งหมด
ละครธรณีนี่นี้ใครครองทางช่อง 3 เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

Image

ธรณีนี่นี้ใครครอง ละครธรณีนี่นี้ใครครอง ละครช่อง3

ธรณีนี่นี้ใครครอง บทประพันธ์ : กาญจนา นาคนันทน์
ธรณีนี่นี้ใครครอง บทโทรทัศน์ : ปารดา กันตพัฒนกุล
ธรณีนี่นี้ใครครอง กำกับการแสดง : ป้าแจ๋ว – ยุทธนา ล.พันธ์ไพบูลย์
ธรณีนี่นี้ใครครอง แนวละคร : โรแมนติค ดราม่า
ธรณีนี่นี้ใครครอง ผลิต : บริษัทโนพรอบเล็มจำกัด โดย ธิติมา สังขพิทักษ์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ออกอากาศ : *ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30 น.
ธรณีนี่นี้ใครครอง ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก ศุกร์ที่ 29 มิถุนายน นี้

เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3

ที่หน้าร้านอะไหล่รถแทรกเตอร์ในเมืองเชียงใหม่ รถสปอร์ตหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ชายหนุ่มหล่อ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรูเก๊กท่านายแบบก้าวลงจากรถมายืนเท่อยู่ข้างรถ เขาคือเวทางค์ ลูกชายผู้ว่าฯประเวทย์

ที่อีกด้านหนึ่งของรถ สาวน้อยแสนเปรี้ยว ก้าวลงมาในชุดกระโปรงสั้นโชว์เรียวขาถึงเหนือเข่า เสื้อกล้ามโชว์เนินอกใส่แว่นดำเก๋ไก๋ พอลงมาก็ถอดแว่นมองไปข้างหน้าด้วยท่านางแบบเช่นเดียวกัน เธอคือวิยะดา น้องสาวของเวทางค์นั่นเอง…

วิยะดาชี้ให้พี่ชายดูพวกสาวแท้สาวเทียมที่กำลังกรี๊ดกันสติแตกมองมาทางนี้ เวทางค์พูดอย่างยโสว่า

“ขี้เกียจดู ไปไหนก็มีแต่ผู้หญิงกรี๊ด เบื่อแล้ว ไม่รู้จะกรี๊ดอะไรพี่นักหนา”

แต่ที่แท้บรรดาสาวแท้สาวเทียมเหล่านั้นไม่ได้กรี๊ดเวทางค์ แต่กรี๊ดคนที่อยู่ข้างหลังเขา คืออาทิจนั่นเอง

วิยะดามองเลยไปด้านหลังเวทางค์ เห็นอาทิจเดินเท่เข้าไปในร้านขายอะไหล่แทรกเตอร์ วิยะดากรี๊ดลั่นถามพี่ชายว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เวทางค์หันมองบอกว่าเข้าร้านแบบนั้นจะเป็นใครได้นอกจากช่างซ่อมรถ ชวนไปกันเถอะตนหิวแล้ว

ที่ร้านอาหารนี่เอง เวทางค์กับวิยะดาเจอดรุณี ต่างทักทายกันด้วยความยินดี สองพี่น้องนึกว่าดรุณีมาทาน อาหารร้านหรู สมเป็นหลานผู้ว่าจริงๆ ดรุณีชี้แจงว่าร้านนี้ไปรับส้มที่สวนเป็นประจำ เขาให้บัตรลด 50% ก็เลยมาใช้บริการ แล้วชวนนั่งด้วยกันตามมารยาท

น้าแก้วถือถุงน้ำปูมาเจออาทิจยืนอยู่หน้าร้านชวนเข้าไปด้วยกัน อาทิจบอกว่าเห็นดรุณีเจอเพื่อนเลยคิดว่ายืนรอข้างนอกดีกว่า แล้วเปลี่ยนใจขอเอาของไปเก็บที่รถ แล้วจะนั่งรอที่นั่นเลย เชิญน้าแก้วตามสบายไม่ต้องห่วงตน

น้าแก้วเข้าไปเห็นเวทางค์กับวิยะดาก็เข้าไปทัก สองพี่น้องพยักหน้ารับอย่างถือตัว น้าแก้วถามดรุณีว่าไม่ทราบจะคุยกันนานไหม เพราะอาทิจไปรออยู่ที่รถ วิยะดาถามทันทีว่าใครคืออาทิจ หล่อไหม ดรุณีตัดบทว่าอย่าสนใจเลย แล้วถามเวทางค์ว่าจะเอาบัตรลด 50% ไว้ใช้ไหม

“ลูกผู้ว่าต้องจ่ายเต็มเท่านั้นจ้ะ ใช้บัตรลด 50 เปอร์เซ็นต์ อายเขาตาย” เวทางค์ทำท่ารังเกียจ ดรุณีเลยเก็บบัตรใส่กระเป๋า หยิบกาแฟและถุงขนมปังเดินออกไปกับน้าแก้ว

ooooooo

ดรุณีเดินมากับน้าแก้ว พอใกล้ถึงรถก็ยื่นให้น้าแก้วเอาไปให้อาทิจ สั่งว่าห้ามบอกว่าตนเป็นคนฝากมาให้ เพราะจริงๆแล้วตนก็ไม่ได้อยากให้ แต่คุณย่าให้เงินมาแล้วเดี๋ยวไปอ้อนคุณย่าว่าไม่มีใครซื้อข้าวซื้อน้ำให้กิน ตนจะเดือดร้อน น้าแก้วได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างเอ็นดู กับความเฮี้ยวของเธอ

พอน้าแก้วไปถึงก็ยื่นทุกอย่างที่ดรุณีใส่มือมาให้อาทิจที่ยืนพิงตึกอยู่ข้างรถบอกว่า มีคนฝากมาให้ อาทิจหันมองดรุณี เธอสะบัดหน้ากระชากเสียงพูดลอยๆ “ไม่ใช่ฉัน!!”

อาทิจถามว่าน้าแก้วซื้อมาหรือ พลางจะยกมือไหว้ขอบคุณ น้าแก้วรีบยกมือห้ามบอกว่าไม่ต้องไหว้ไม่ใช่ น้าแก้ว อาทิจเลยแกล้งพูดว่า “อ๋อ…รู้แล้ว สงสัยจะเป็นเพื่อนชายของคุณณีซื้อให้”

ดรุณีหันขวับชักสีหน้าใส่แต่พูดผ่านน้าแก้วให้บอกผู้ชายคนนั้นว่าอย่าหาเรื่อง ตนมาหาซื้อหนังสือไม่ได้นัดแฟนออกมาคุย อาทิจนึกสนุกเลยพูดผ่านน้าแก้วบ้าง ให้ช่วยอธิบายกับคนนี้ด้วยว่าตนพูดว่า เพื่อนชาย ไม่ได้พูดว่าแฟน

ทั้งสองโต้เถียงกันผ่านน้าแก้วทั้งที่น้าแก้วไม่ได้พูดอะไรเลย กระทบกระแทกกันไปมาจนอาทิจอบรมผ่านน้าแก้วว่า

“ผมว่าน้องคนนี้ของน้าแก้วท่าจะคิดมากนะครับ ผมจะหมายถึงแฟนได้ยังไง ในเมื่ออายุของน้องคนนี้สมควรจะตั้งใจเรียนอย่างเดียว ถ้าเป็นน้องสาวผม ผมจะสอนเขาว่าอย่าริอ่านมีแฟน”

อาทิจเห็นว่ายั่วดรุณีขึ้นก็ยิ่งยั่วจนเธอตอบโต้ไม่ออก น้าแก้วที่ยืนเป็นตัวกลางให้ทั้งสองโต้เถียงกันไปมาตัดบทว่า

“พอได้แล้วค่ะ ถ้าน้องคนนี้กับผู้ชายคนนั้นยืนทะเลาะกันอยู่อย่างนี้ แล้วทางคุณย่านู้นกับคนงานทางโน้นจะได้กินข้าวเย็นกันไหมคะ”

ทั้งคู่เลยหย่าศึก น้าแก้วยื่นกาแฟกับขนมปังให้อาทิจกินรองท้องก่อนเพราะต้องขับรถอีกนาน เขาบอกว่าแวะกินที่ไปรษณีย์มาแล้ว ดรุณีบ่นลอยๆว่ากินแล้วทำไมไม่บอกแต่แรกจะได้ไม่ต้องเปลืองสตางค์ซื้อ เลยถูกอาทิจจับเท็จว่า

“อ้าว…ตกลงนี่คุณเป็นคนซื้อให้ผมเหรอ แหม…ถ้าบอกเสียตั้งแต่แรก ผมกินฉลองศรัทธาไปนานแล้ว จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเป็นเด็กๆต่อหน้าน้าแก้วด้วย”

ดรุณีโกรธจนทำอะไรไม่ถูกเลยค้อนไล่ตั้งแต่น้าแก้วไปถึงอาทิจแล้วตะบึงตะบอนไปขึ้นรถ

อาทิจได้แต่ขำ ที่ดรุณีมาทำให้ตนกลายเป็นเด็กไปด้วย

ooooooo

ประเวทย์กับวิไลลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กับภรรยา พ่อแม่ของเวทางค์และวิยะดาเป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ ฟู่ฟ่า วันนี้เวทางค์กับวิยะดาที่ไปเรียนกรุงเทพฯกลับมาเยี่ยมบ้าน

เวทางค์กับวิยะดาบอกแม่ว่าเจอดรุณีที่ตลาดเมื่อครู่นี้ วิไลลักษณ์คาดว่าสิ้นเดือนพอดีดรุณีคงเอาเงินมาเข้าธนาคารให้คุณย่า แล้วเตือนลูกทั้งสองว่า ต้องอยู่ติดคุณย่าเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นดรุณีจะได้จากคุณย่าไปหมด ชวนพรุ่งนี้ไปหากันเลยไหม

เวทางค์ไม่ไปเพราะนัดเพื่อนโยนโบว์ไว้แล้ว ส่วน วิยะดาก็ไม่ไปเพราะไปที่นั่นเหมือนอยู่หลังเขา ไม่มีสัญ– ญาณโทรศัพท์ จะบีบีกับใครก็ไม่ได้ ไปถึงคุณย่าก็คุยแต่เรื่องทำไร่ทำสวนน่าเบื่อจะตาย

“เบื่อยังไงก็ต้องไป ท่องเอาไว้สิ เงิน…เงิน…เงิน มรดกคุณย่ามีไม่ใช่น้อยนะ ลูกจะปล่อยให้ยายณีคว้าไปครองคนเดียวหรือจ๊ะ” วิไลลักษณ์หว่านล้อมแกมขู่ ลูกทั้งสองเลยมองหน้ากันเซ็งๆ

ooooooo

วันนี้ อาทิจกับต๊อดไปเล่นน้ำที่น้ำตกกัน แล้วทั้งสองก็ถูกดรุณีแหวใส่ว่าใครอนุญาตให้มาเล่นน้ำในที่ส่วนตัวของตน อาทิจทำหน้างงบอกว่าตนมาอาบน้ำที่นี่ทุกวันตั้งแต่แรกที่มาถึงไม่เห็นมีใครมาอ้างสิทธิ์เลย

ดรุณีไล่ให้ไปเล่นที่ปลายน้ำหรือที่มุมไหนก็ได้ อาทิจไม่อยากมีเรื่องเลยชวนต๊อดหลบไปเล่นอีกฟากหนึ่ง แต่แกล้งพูดดังๆให้เข้าหูดรุณีว่า

“ย้ายมาอาบปลายน้ำก็ดีเหมือนกัน เผื่อมีใครขึ้นไปเล่นน้ำตกชั้นบน หรือไม่ก็พวกช้างที่อาจจะฉี่ระหว่างเดินข้ามน้ำมันก็จะโดนพวกที่อยู่ต้นน้ำก่อน”

ซ้ำต๊อดยังประสานเสียงเป็นปี่เป็นขลุ่ยว่าถ้าเป็นช้างก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนนี่สิเรียกว่าฝันร้ายเลยละ

เป็นจังหวะเหมาะพอดีที่มีอะไรเป็นก้อนๆสีทองลอยตุ๊บป่อง…ๆมาสองสามก้อน สองหนุ่มทำเสียงสยองว่ามาแล้ว จิ๋วแจ๋วมองไปร้องบอกดรุณีว่าอึลอยมา ดรุณีร้องอย่างขยะแขยง แต่พอเพ่งมองดีๆกลายเป็นซังข้าวโพด อาทิจกับต๊อดหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งที่หลอกดรุณีได้สำเร็จ

ดรุณีเจ็บใจที่ถูกหลอก กลับไปฟ้องคุณย่าว่าอาทิจ บุกรุกเข้าไปในที่ส่วนตัวของตน เลยถูกคุณย่าอบรมว่าน้ำตกเป็นที่สาธารณะ เราไม่มีสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของแม้ว่ามันจะอยู่ในที่ของเราก็ตาม

ooooooo

ที่ร้านขายของชำของทองประศรี สาวเปรี้ยวเปลี่ยวเหงา เธอเป็นอีกคนที่ดีอกดีใจมากเมื่อรู้จากตุ๊ลูกหนี้ที่เป็นคนงานที่สวนส้มของคุณย่าว่ามีหลานชายของคุณย่ามาอยู่ด้วย ถามอย่างตื่นเต้นว่าหล่อไหม

ตุ๊เลยฉวยโอกาสขอเซ็นสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แป้งฝุ่น และยาทาเต่าด้วย ทองประศรีถามตุ๊ว่าแล้วเมื่อไรจะพาไปรู้จักหลานชายคุณย่า เสนอว่าพรุ่งนี้เลยได้ไหม

“จ้ะ…แต่สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แป้งฝุ่น แล้วก็ยาทาเต่าน่ะขอเดี๋ยวนี้เลยนะ” ตุ๊เล่นทีเผลอเลยได้เซ็นของไปอีกเพียบ

ooooooo

วันนี้คุณย่าทำข้าวเหนียวมะม่วง ดรุณีชมว่าหน้าตาน่ากินจัง คุณย่าบอกว่าใกล้เสร็จแล้วให้ไปตามอาทิจมากินข้าวก็คงเสร็จพอดี ดรุณีบอกว่าอาทิจฝากจิ๋วแจ๋วบอกมาแล้วว่าจะกินกับคนงาน เพราะอยากซ่อมแทรกเตอร์ให้เสร็จ คุณย่าเลยเอาใส่ปิ่นโตให้ดรุณีขี่จักรยานไปส่ง มีทั้งกับข้าวและข้าวเหนียวมะม่วง

ดรุณีถึงกับเซ็ง เพราะคิดว่าวันนี้ไม่ต้องไปเป็นแจ๋วของอาทิจแล้วเชียว จำต้องเอาปิ่นโตแขวนที่แฮนด์จักรยานปั่นไปให้

อาทิจทำงานเพลินจึงมาเข้าแถวรับอาหารเป็นคนสุดท้าย ปรากฏว่ากับข้าวหมดเหลือแต่ติดก้นหม้อ เขาบอกน้าแก้วว่าไม่เป็นไรตนกินได้ จิ๋วแจ๋วรีบบอกว่าอย่าเพิ่งกิน เพราะดรุณีกำลังเอาปิ่นโตมาส่ง อาทิจเลยต้องหิ้วท้องรอทั้งที่หิวมาก

ดรุณีขี่จักรยานมาหลับตาสูดอากาศยามเย็นอย่างชื่นอกชื่นใจจนเกือบชนรถกระบะขนส้มที่สวนมา หักหลบเลยล้มทั้งคนทั้งรถ แต่น่าอัศจรรย์ที่ปิ่นโตทั้งเถากลับตั้งอย่างดีที่พื้น แทนที่จะดีใจ ดรุณีกลับคิดแก้เผ็ด

เมื่อไปถึงก็ทำทีเดินกะเผลกๆ จูงจักรยานเข้าไปบอกว่าจักรยานล้มอาหารในปิ่นโตหกหมด อาทิจหน้าแห้งเพราะหิวจัด ดรุณีแอบยิ้มที่แกล้งอาทิจได้ แม้แค่เพียงอาหารมื้อเดียวก็สะใจ๊…สะใจ…

ooooooo

วันนี้ วิไลลักษณ์พาเวทางค์กับวิยะดามาหาคุณย่าที่บ้าน ปากหวานทั้งแม่ทั้งลูกว่า คิดถึงคุณย่ามาก ถึงมากที่สุดในโลก คุณย่าขอบใจที่คิดถึงคนแก่ ถามถึงเรื่องเรียนของสองคน วิไลลักษณ์ต้องกล้อมแกล้มตอนแทนลูกว่า “ก็ดีค่ะ…”

คุณย่าบอกว่าดีแล้ว เพราะเรียนเก่งๆทางโรงเรียนก็มีทุนให้ อย่างดรุณีก็ได้รับทุนมาตั้งแต่อยู่ ม.3 ย่าแทบไม่ต้องช่วยออกอะไรให้เลย ช่วยแค่ตำราเรียนนิดๆ หน่อยๆ ปีละไม่กี่พัน ถามว่าแล้วสองคนล่ะเป็นอย่างไร

เวทางค์บอกว่าของตนปีละเป็นล้าน คุณย่าตกใจว่าทำไมเยอะอย่างนี้ วิไลลักษณ์แก้ให้ว่าแค่เกือบล้านเท่านั้น เพราะต้องเสียค่าเล่าเรียน ค่าคอนโดฯ ค่าน้ำมัน ค่ากินอยู่ แล้วยังมีตำรากับอุปกรณ์การเรียนอีก วิยะดาแทรกขึ้นว่า ถ้าไม่ดื่มไม่เที่ยวก็อาจจะประหยัดกว่านี้ คุณย่าเลยถามว่า แล้วเธอล่ะยังช็อปของแบรนด์เนมตลอดใช่ไหม

วิไลลักษณ์รีบเปลี่ยนเรื่อง ถามว่าแล้วดรุณีหายไปไหน พอคุณย่าบอกว่า เอาปิ่นโตไปส่งอาทิจลูกของประวิทย์พี่ชายประเวทย์ ที่เรียนจบเกษตรแล้วอยากทำไร่ ทำสวน ประวิทย์เลยส่งมาอยู่ที่นี่

วิยะดาถามทันทีว่าหล่อไหม ส่วนวิไลลักษณ์ก็อยากให้เรียกมารู้จัก เพราะมีคุณอาเป็นถึงผู้ว่าฯเผื่อมีอะไรจะได้พึ่งพาได้

คุณย่าหน่ายๆกับสามแม่ลูกที่นิสัยถอดกันออกมาไม่มีผิด

ooooooo

เมื่อไม่มีกับข้าว อาทิจเลยตำส้มตำกินกับคนงาน อย่างเอร็ดอร่อย ดรุณีหมั่นไส้ที่ตั้งใจแกล้งอาทิจแต่เขากลับได้กินของชอบ เลยจะกลับ พอดีจิ๋วแจ๋วมาบอกอาทิจว่าคุณย่าให้มาตาม เพราะวิไลลักษณ์มาที่บ้าน อาทิจทำหน้างงๆ เพราะไม่รู้ว่าวิไลลักษณ์เป็นใคร

พออาทิจมาถึง วิยะดาถึงกับกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจที่เขาคือชายหนุ่มที่ตนเห็นที่ตลาดวันนั้น เพ้อว่าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นญาติกัน คุณย่าแนะนำลำดับญาติ แล้วก็นับอายุกัน เวทางค์แก่กว่าอาทิจเกือบ 2 ปี คุณย่าบอกให้อาทิจเรียกพี่ เวทางค์รีบบอกว่าไม่ต้องเรียกพี่หรอก ฟังดูแก๊แก่…เพื่อนในห้องเรียนอายุเท่าอาทิจก็มีถมไป

ส่วนวิยะดาพอได้ช่องก็รีบแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม น้ำหนัก ส่วนสูง ส่วนโค้ง ส่วนเว้าของตัวเองครบถ้วน ถูกวิไลลักษณ์เบรก แล้วถามอาทิจว่าเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหนหรือ

ถูกคุณย่าเบรกว่าจำเป็นด้วยหรือ มีผลต่อการทำงานหรือเปล่า วิไลลักษณ์ยืนยันว่าจำเป็น เพราะอุปนิสัยเกี่ยวพันกับสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้วย ยกตัวอย่างเวทางค์ว่าเกิดที่ลอนดอนเลยดูสมาร์ท โอ่อ่า ถอดแบบผู้ดีอังกฤษมาทั้งดุ้น

“ของผมก็ ดอน ครับ อุดรฯ พ่อผมไปรับราชการที่นั่นพอดี” เวทางค์สอดขึ้นขำๆว่าอุดรราชสีมาน่ะเหรอ เลยถูกดรุณีกัดยิ้มๆว่า

“แหม…พี่เว กลับจากอังกฤษมาเป็นสิบปีแล้ว ยังสับสนเหมือนเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าเลยนะคะ ไม่มีหรอกค่ะอุดรราชสีมาน่ะ มีแต่อุดรธานีค่ะ”

เวทางค์ตะแบงว่ามันก็คล้ายๆกันแหละ แล้วพูดข่มเชิงดูถูกอาทิจต่างๆนานาว่าพูดลาวได้ใช่ไหม ชอบกินปลาร้าใช่ไหม ทำท่ารังเกียจ ทั้งที่ตัวเองและแม่ตักส้มตำ ปลาร้าที่อาทิจตำมาฝากคุณย่ากินเอ๊า…กินเอา…

ส่วนวิยะดาก็ตั้งหน้าตั้งตาฉอเลาะอาทิจ ถามเรื่องซ่อมรถแทรกเตอร์ เขาบอกว่าเหลือเปลี่ยนน็อตอีกไม่กี่ตัวคาดว่าเย็นนี้คงเสร็จ วิยะดาจะอยู่เป็นกำลังใจเขา ถูกดรุณีปรามาสว่าอย่าดีกว่า เผื่อซ่อมเสร็จแล้วอาจจะสตาร์ต ไม่ติดก็ได้ เดี๋ยวอาทิจจะหน้าแตกเปล่าๆ แต่ในใจมีแผนอะไรบางอย่างแล้ว

“ปล่อยให้พี่เขาทำคนเดียวเถอะ เขาจะได้มีสมาธิเต็มที่ เดี๋ยวเราค่อยไปชื่นชมตอนมันใช้งานได้แล้วดีกว่า” คุณย่าแทรกขึ้นแล้วหันไปบอกอาทิจว่า “ย่าเป็นกำลังใจให้พ่ออาทิจนะ ย่าเชื่อว่าพ่อต้องทำได้”

เห็นคุณย่าเมตตาอาทิจมาก วิไลลักษณ์จิกตามองอย่าง ริษยา ส่วนดรุณีก็นึกขวางที่คุณย่าเอ็นดูอาทิจจนออกนอกหน้า

ooooooo

ฝ่ายทองประศรีโดยการสมรู้ร่วมคิดของตุ๊ พากันมาแถวโรงซ่อมแทรกเตอร์ ทองประศรีเอาห่วงฮูลาฮูปมาด้วย หมายมาส่ายยั่วอาทิจ ตุ๊เข้าไปสอดแนมก่อน ถ้าเห็นอาทิจอยู่ในนั้นก็จะส่งสัญญาณให้ทอง-ประศรีส่ายเข้าไปหา

ระหว่างรอต่างสัญญาณ ทองประศรีก็ซ้อมส่ายไปพลาง บังเอิญต๊อด อึ่ง กับพัน สามเกลอจอมซ่าเดินมาเจอ เลยแถเข้าไปแซว พอรู้ว่าทองประศรีจะมาเต๊าะอาทิจ เลยแกล้งส่ายเข้าหาทั้งที่ไม่มีห่วง ทำเอาทองประศรีสยองกับท่าอุบาทว์ของทั้งสาม จึงวิ่งฝ่าวงล้อมออกไป

ที่อีกมุมหนึ่ง ดรุณีย่องเข้าไปในห้องซ่อมแทรกเตอร์ แอบไปดูถุงใส่อะไหล่เห็นน็อตอยู่หลายตัวก็จ้องตาเป็นประกาย

“ถ้าน็อตหายไปสัก 2-3 ตัว คงทำไม่ได้มังคะคุณย่า เอ…หรือจะหายไปทั้งถุงดี อึ้ม…ปิดประตูตายเลยดีกว่า ทีนี้ล่ะนายอาทิจ นายได้หน้าแตกแน่” ว่าแล้วดรุณีก็เอาถุงอะไหล่น็อตใส่กระเป๋าสะพายวิ่งออกไป พลันก็ชะงักเมื่ออาทิจเดินมาพอดี

ที่จริงอาทิจไม่ได้เฉลียวใจอะไรเลย แต่ดรุณีมีพิรุธ พออาทิจบอกให้หยุดอยู่นิ่งๆก็รีบแก้ตัวพัลวัน ที่แท้อาทิจเห็นแมลงสาบที่พื้นแถวเท้าเธอ พอเห็นเป็นแมลงสาบเท่านั้น ดรุณีตกใจร้องกรี๊ด กระโดดกอดอาทิจแน่น ทำเอาอาทิจใจเต้นตูมตามจนลืมแมลงสาบไปเลย

พอรู้ตัว ดรุณีเขินจนแก้มแดง ทำเป็นบ่นกลบเกลื่อนว่า ต้องบอกคุณย่าให้คนงานมาทำความสะอาดแล้วเพราะแมลงสาบมากเหลือเกิน เธอเขินจนเดินสะดุดถังพลาสติกใส่น้ำจนเซ เลยยิ่งเขิน สุดท้ายวิ่งอ้าวออกไป อาทิจมองตามยิ้มๆ แต่เกิดอาการใจสั่น ร้อนวูบวาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน…

ดรุณีเพิ่งกลับมาถึง ไม่ทันนั่ง จิ๋วแจ๋วก็วิ่งมาบอกอย่างตื่นเต้นว่า อาทิจให้มาบอกคุณย่าว่าซ่อมแทรกเตอร์เสร็จแล้ว คุณย่าดีใจมาก ส่วนดรุณีนึกกระหยิ่มในใจว่าเดี๋ยวก็รู้ จะออกหมู่หรือจ่า

เมื่อพากันไปดูที่โรงซ่อม ทีแรกสตาร์ตไม่ติด ทำเอากองเชียร์ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ แต่พอลองอีกทีคราวนี้เครื่องยนต์ครางกระหึ่ม ทุกคนสีหน้าผ่อนคลายยิ้มแย้ม มีแต่ดรุณีที่นิ่งอย่างสงสัยว่าเป็นไปได้ไง??

ที่แท้ถุงน็อตอะไหล่ที่เธอไปขโมยมาเป็นถุงน็อตอะไหล่ที่ต๊อดซื้อมาเพื่อซ่อมรถจักรยานให้เธอนั่นเอง! ดรุณีเซ็งจนบอกไม่ถูก สุดท้ายก็ทำหน้าตาย คืนถุงอะไหล่ให้ต๊อด อ้างว่าตนเห็นหล่นอยู่เลยหยิบมา คืนต๊อดแล้วรีบจ้ำอ้าวไปเลย

พอมายืนสมทบกับคุณย่าดูอาทิจทดลองเครื่อง คุณย่าใช้ให้ไปเอาน้ำดื่มบ้านคนงานมาให้สักขัน พอดรุณีเดินไป คุณย่าก็เรียกอาทิจมาหา ดรุณีเอาขันน้ำมายื่นให้คุณย่า กลายเป็นคุณย่าให้ส่งต่อให้อาทิจดื่มแก้กระหาย ดรุณีส่งน้ำให้อาทิจท่าทางยังเขินๆ เมื่อนึกถึงเรื่องแมลงสาบที่ห้องซ่อมแทรกเตอร์

ขณะกำลังเขินกันอยู่นั่นเอง วิยะดาฉวยขันจากดรุณีส่งให้อาทิจแทน เธอดี๊ด๊าความหล่อของอาทิจจนดรุณียิ่งหมั่นไส้ชายหนุ่มเป็นทวีคูณ

ooooooo

วิไลลักษณ์มีแผนที่จะให้เวทางค์จับคู่กับดรุณี เพราะรู้ว่าคุณย่าเมตตาดรุณีและจะต้องยกสมบัติให้มากเป็นพิเศษ ส่วนวิยะดาที่ขอจับคู่กับอาทิจก็ถูกแม่เบรกว่าอาทิจเป็นพี่ชาย วิยะดาโต้ว่าดรุณีก็นับญาติกับเราได้เหมือนกัน

“ญาติจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หน้าตาไม่เห็นเหมือนคุณปู่ทวดเลยสักนิด แต่จะใส่ใจไปทำไม สมัยนี้แค่มีเงินอย่างเดียวก็พอแล้ว เราต้องร่วมมือกันให้ตาเวกับยายณีลงเอยกันให้ได้นะลูก”

ประเวทย์เตือนว่า จะทำอะไรก็อย่าให้ตนต้องมีปัญหากับคุณแม่ก็แล้วกัน แล้วเดินออกไปอย่างไม่อยากยุ่งด้วย

แม้อาทิจจะถูกดรุณีก่อกวนและแผลงฤทธิ์ใส่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ทำให้เขาหวั่นไหวไขว้เขวกับความมุ่งมั่นที่จะทำการผลิตในที่ดินที่คุณย่าอนุญาต อีกทั้งได้กำลังใจจากคุณย่าทั้งคำแนะนำ สนับสนุนกำลังคนและทุนทรัพย์ แต่ทุกอย่างคุณย่าจะให้ทำอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ โดยเฉพาะวินัยในด้านการเงิน คุณย่าสอนว่า

“จะทำการค้าต้องละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียว ย่ายอมเสียเงินเลี้ยงคนงานเป็นหมื่นเป็นแสนได้ แต่จะไม่ยอมเสียแม้แต่บาทเดียวเพราะความสะเพร่าของตัวเอง”

“ผมจะจำคำสอนของคุณย่าไว้ให้ขึ้นใจครับ” เป็นคำตอบที่เหมือนสัญญาที่อาทิจให้แก่คุณย่า

เพราะรู้คุณค่าของการกินผักและคุณย่าก็ชอบทานสลัด มาก อาทิจวางแผนปลูกผักหลายอย่าง ทั้งคุณย่าและน้าแก้ว บอกให้ดรุณีช่วยอาทิจทำสวนผักด้วย เธอบอกว่าได้ แต่จะใช้งานฟรีๆไม่ได้ อาทิจจึงเสนอขอจ่ายค่าแรงเป็นผักแทน

นอกจากอาทิจจะช่วยงานคุณย่าและทำสวนผักของตัวเองแล้ว เขายังตักเตือนติติงพวกต๊อด พัน อึ่ง ที่คึกคะนองลากเขาไปถ้ำมองหนังสด ว่าไม่ละอายใจบ้างหรือ ขู่ว่าถ้ายังขืนทำแบบนี้อีกจะบอกคุณย่าให้ตัดเงินเดือน

ธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง 

———————

รายชื่อนักแสดง ธรณีนี่นี้ใครครอง :

ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ณเดชน์ คูกิมิยะ รับบท อาทิจ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละครอุรัสยา เสปอร์บันด์ รับบท ดรุณี
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย รับบท วิยะดา
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร สาวิตรี สุทธิชานนท์ รับบท ตุลยานี
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร วิวิศน์ บวรกีรติขจร รับบท เวทางค์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เฉลิมพล ทิฆัมพรธีระวงศ์ รับบท อึ่ง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร กนกพงศ์ อนุรักษ์จรรยง รับบท พัน
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เอ เชิญยิ้ม รับบท ต๊อด
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ดวงตา ตุงคะมณี รับบท ย่าแดง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ดารณีนุช โพธิปิติ รับบท น้าแก้ว
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร รุ้งทอง ร่วมทอง รับบท วิไลลักษณ์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เวนย์ ฟอลโคเนอร์ รับบท ประเวทย์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เบญจพล เชยอรุณ รับบท ไพฑูร
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ตี๋ ดอกสะเดา รับบท เกร็ง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ศิรินุช รับบท เพชรอุไร รับบท คำมา
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ศานติ สันติเวชกุล รับบท สิงห์ทอง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร จาตุรงค์ โกลิมาศ รับบท ทองใบ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร วีรชัย หัตถโกวิทย์ รับบท ยรรยง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ขวัญชีวา เอี่ยมสะอาด รับบท จิ๋วแจ๋ว

Image

ดูละครธรณีนี่นี้ใครครองย้อนหลัง ทั้งหมดที่นี่

ละครย้อนหลัง > ละครย้อนหลังช่อง3 >  ธรณีนี่นี้ใครครอง

ธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 3

 

Tags: , , , , , , , , , , , , ,

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

ละครธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละครธรณีนี่นี้ใครครอง อ่านเรื่องย่อละครทั้งหมด
ละครธรณีนี่นี้ใครครองทางช่อง 3 เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

Image

ธรณีนี่นี้ใครครอง ละครธรณีนี่นี้ใครครอง ละครช่อง3

ธรณีนี่นี้ใครครอง บทประพันธ์ : กาญจนา นาคนันทน์
ธรณีนี่นี้ใครครอง บทโทรทัศน์ : ปารดา กันตพัฒนกุล
ธรณีนี่นี้ใครครอง กำกับการแสดง : ป้าแจ๋ว – ยุทธนา ล.พันธ์ไพบูลย์
ธรณีนี่นี้ใครครอง แนวละคร : โรแมนติค ดราม่า
ธรณีนี่นี้ใครครอง ผลิต : บริษัทโนพรอบเล็มจำกัด โดย ธิติมา สังขพิทักษ์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ออกอากาศ : *ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30 น.
ธรณีนี่นี้ใครครอง ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก ศุกร์ที่ 29 มิถุนายน นี้

เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2

ดรุณีขยับรถเข้าที่จอด ปลดกุญแจรถ คว้ากระเป๋าสะพายและรายการของที่จะซื้อ ปิดประตูรถแล้วหันถามอาทิจที่เดินรวมกลุ่มมากับน้าแก้ว อึ่ง กับพัน ว่าจะไปหาใครที่สวนคุณย่า
“หาคุณย่า” ชายหนุ่มตอบกวน ถูกถามกวนยิ่งกว่าว่ามีธุระอะไร “ธุระส่วนตัว”

ทำท่ากร่างแต่ข่มอาทิจไม่ลง ดรุณีเลยหันไปลงกับอึ่ง พัน และน้าแก้ว ถามเสียงเข้มว่าจะมายืนอยู่ทำไม ให้เอารถเข็นลงมา แล้วถามหารายการของที่จะซื้อกับน้าแก้วว่าเอาไว้ที่ไหน น้าแก้วบอกว่าก็อยู่ในมือคุณณีนั่นแหละ ทำเอาดรุณีหน้าแตกแต่ทำไก๋กลบเกลื่อนไล่ทุกคนให้รีบไปซื้อของตามรายการเร็วๆ เดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน

“ผมรอที่นี่นะ” อาทิจเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินของเธอ “คุณไม่ขอโทษผมก็ไม่เป็นไร แค่ไถ่โทษด้วยการให้ผมอาศัยรถไปด้วยก็พอแล้ว”

ดรุณีพูดอย่างไม่แยแสว่าจะรอที่ไหนก็เรื่องของนาย พูดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์บอกให้ไปรอฝั่งโน้นดีกว่า แดดไม่ร้อน น้าแก้วมีแก่ใจบอกว่าเดี๋ยวซื้อของเสร็จแล้วจะไปตาม ดรุณีเร่งทุกคนไปกันได้แล้ว อึ่งกับพันจึงหิ้วตะกร้า เข็นรถตามไป

อาทิจเห็นดรุณีทำกุญแจรถตก เขาหยิบขึ้นมาจะเรียกดรุณี แต่พอเงยหน้าขึ้นทุกคนก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว เขาจึงเดินไปฝั่งตรงข้าม เข้าไปในร้านอาหาร เจ้าของร้านมาแจ้งรายการอาหารยาวเหยียด เสร็จแล้วถามว่าจะรับอะไรดีครับ

“น้ำแข็งเปล่าแก้วนึงครับพี่ พอดีคุณแม่ผมทำกับข้าวมาให้แล้ว” เจ้าของร้านทำหน้าเซ็ง อาทิจไม่ได้สังเกต เขาจัดแจงเอาห่อใบตองออกมาสองห่อ ห่อหนึ่งเป็นข้าวเหนียวนึ่งอีกห่อเป็นเนื้อย่างแดดเดียว

ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันยังอยู่ฝั่งตรงข้าม ดรุณีชะเง้อมองอาทิจแล้วสั่งทุกคนแยกย้ายไปซื้อของ น้าแก้วบอกว่าดีไปเร็วกลับเร็ว คุณคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอนาน

“เร็วแต่ไม่ต้องรอค่ะ หนูไม่ได้รับปากเขานี่คะว่าจะให้เขาไปด้วย” พูดพลางเขม้นมองไปที่อาทิจ “เล่นสั่งข้าวมากินซะขนาดนั้นคงอีกนานกว่าจะกินเสร็จ ถ้าเรากลับแล้วมาไม่ทัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเรา จริงไหมคะ แล้วเจอกันที่รถเลยนะคะน้าแก้ว” พูดแล้วเดินไปเลย น้าแก้วมองตามหลังส่ายหน้าอย่างรู้ทัน แล้วเดินไปอีกทาง

อาทิจไม่ทันกินข้าว ก็มีหญิงจรจัดคนหนึ่งอุ้มลูกเข้ามาขอข้าวเจ้าของร้านกิน ถูกเจ้าของร้านไล่บอกว่าติดหนี้ข้าวเป็นร้อยแล้วยังมีหน้ามาขออีก อาทิจเห็นดังนั้นจึงเรียกหญิงจรจัดมากินกับตน เจ้าของร้านไม่ยอมให้นั่งเพราะไม่ได้ซื้ออะไรที่ร้าน อาทิจเลยให้สั่งน้ำแข็งเปล่าแก้วหนึ่ง แล้วเลื่อนข้าวกับเนื้อย่างแดดเดียวของตนให้หญิงคนนั้นกับลูกกิน

สองแม่ลูกกินอย่างหิวโหย อาทิจมองอย่างเวทนาจนตัวเองลืมความหิวไปเลย

ooooooo

ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันซื้อของเสร็จกลับมาแล้ว เธอเร่งทุกคนให้ไปกันได้เลย น้าแก้วท้วงติงว่ามันจะดีหรือ เดี๋ยวใครๆจะนินทาเอาได้ว่าคนที่สวนคุณย่าไม่มีน้ำใจ อึ่งกับพันเห็นด้วย ดรุณีโต้ว่าน้ำใจมีไว้ตอบแทนคนที่มีน้ำใจให้เราเท่านั้น

อาทิจได้ยินพอดีถามว่า แล้วการเก็บกุญแจรถที่คนทำตกไว้แล้วไม่ขโมยรถ แต่นำกุญแจมาคืนเจ้าของ อย่างนี้เรียกว่ามีน้ำใจไหม ดรุณีฉุกคิดได้ตบกระเป๋าหากุญแจรถจึงรู้ว่าหายไป
อาทิจยื่นกุญแจรถไปตรงหน้า เธอกระชากไป อาทิจถามว่า ในเมื่อตนมีน้ำใจเธอก็คงไม่กลืนน้ำลายตัวเอง จริงไหม พูดแล้วกระโดดขึ้นท้ายรถกระบะเลย ดรุณีสะบัดไปที่นั่งคนขับกระชากรถออกไป จนคนที่นั่งอยู่กระบะเทหัวทิ่มไปข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลังหัวทิ่มหัวตำ ไปตามกัน

ระหว่างทางกลับไปสวนส้ม อาทิจมองสองข้างทางอย่างศึกษาหาข้อมูล ส่วนอึ่งกับพันนั่งมองอาทิจนึกในใจว่าหมอนี่เป็นใครนะ ทำไมหล่อลากดินขนาดนี้ อาทิจหันมาเจอสายตาของทั้งสองก็ฉีกยิ้มให้แล้วมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ

ส่วนที่หน้ารถ หลังจากน้าแก้วรู้ว่าอาทิจคือชายหนุ่มคนที่มากอดไหล่ดรุณีที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงเมื่อ

วันก่อน ก็หัวเราะชอบใจว่านี่ต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ ถึงได้เจอกันแล้วเจอกันอีก สงสัยว่าหนุ่มนี่คงจะไปสมัครงานกับคุณย่า เหลียวมองข้างหลังแล้วพูดขำๆ ว่าพวกสาวๆที่ไร่คงไม่เป็นอันทำงานกันแน่ ขนาดอึ่งกับพันยังมองกันไม่วางตาเลย

“เดี๋ยวเถอะ…จะทำให้หายหล่อทั้งคนจ้องทั้งคนถูกจ้องเลย” ดรุณีพูดอย่างมันเขี้ยวแล้วกระชากรถวืดดดดเดียว คนข้างหลังก็ถูกเหวี่ยงไปกองกันข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลัง ร้องกันลั่นไปหมด

ดรุณียังตั้งหน้าตั้งตาแกล้งคนข้างหลังทั้งที่ตัวเองเพิ่งขับรถเป็นแท้ๆ จนเกือบประสานงากับรถที่สวนมา ดีที่หักหลบได้หวุดหวิด คราวนี้อาทิจทนไม่ได้แล้ว เขาลงไปนั่งเบียดดรุณีออกไป ขอเป็นคนขับรถเอง ดรุณียังทำอวดดีไม่ยอมให้ขับ

“ขับรถประสาอะไร จะพาทุกคนไปตายกันหมดแล้วรู้ตัวรึเปล่า” อาทิจเสียงดัง ดรุณีถามว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา “เกี่ยวสิ ในเมื่อผมนั่งรถมากับคุณ”

ดรุณีบอกว่าไม่พอใจก็โบกรถคันอื่นไปเอง อาทิจไม่ยอมเพราะตนต้องไปพบคุณย่าวันนี้ให้ได้ และต้องไปรถคันนี้ด้วยแล้วนั่งเบียด ดรุณีตวาดว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาขับรถคุณย่า อาทิจถามว่าทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อตนก็เป็นหลานคุณย่าเหมือนกัน และก็ขับรถเป็นกว่าเธอหลายเท่า

ทุกคนเลยพากันอึ้งเมื่อรู้ว่าอาทิจเป็นหลานคุณย่า เขาจึงเปิดเผยตัวเองว่าชื่ออาทิจเท่านั้นเอง ดรุณีถึงกับตะลึงว่าที่แท้ก็นายคนนี้นี่เอง!

ooooooo

อาทิจขับรถมาจนถึงสวนส้ม น้าแก้วบอกดรุณีว่าตนจะจัดการกับของที่ซื้อมาเอง ให้เธอพาอาทิจไปพบคุณย่าก็แล้วกัน ดรุณีเดินอ้าวไปเลย จนน้าแก้วต้องพูดออกตัวกับอาทิจว่า เธอคงไม่คิดว่าเขาจะเป็นหลานคุณย่าเลยตั้งตัวไม่ทัน และคงรู้สึกผิดเรื่องขับรถด้วย แก้ต่างให้ว่า เธอเพิ่งขับรถเป็น ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเขาหรอก

“ผมไม่ติดใจอะไรหรอกครับ เพียงแต่คิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาชีวิตรอดมากราบคุณย่าได้เท่านั้น”

ดรุณีตะบึงตะบอนพาอาทิจไปหาคุณย่า พูดเหน็บว่าพอได้รับจดหมายก็รีบแจ้นมาเลย คุณย่ามองอาทิจที่เข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว สัญชาตญาณความเป็นย่าหลานทำให้มองกันด้วยสายตาอบอุ่น ชิดเชื้อ

อาทิจเข้าไปก้มกราบแทบเท้าคุณย่า ดรุณีทำแสบแกล้งยื่นเท้าไปใกล้คุณย่าเลยเหมือนอาทิจกราบตนไปด้วย แต่อาทิจก็ไม่สนใจเมื่อคุณย่าถามว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ มาอย่างไร
อาทิจกับน้าแก้วช่วยกันเล่า คุณย่าเห็นรอยฟกช้ำที่แขนกับศอกของอาทิจถามว่าไปโดนอะไรมา อาทิจไม่อยากมีเรื่องตอบเลี่ยงไปแบบไม่โกหกแต่ก็พูดไม่หมดว่า ตนข้ามถนนแล้วไม่ทันเห็นรถที่แล่นมา กระโดดหลบเลยล้มกระแทกพื้นเอง

คุณย่าบ่นพวกวัยรุ่นที่เพิ่งหัดขับรถแล้วออกมากวนเมือง เตือนเขาต้องระวังตัวให้มาก อาทิจสะใจมากบอกคุณย่าว่า

“ครับ ผมจะระวังพวกวัยรุ่นกวนเมืองพวกนี้ให้มากครับ” พลางปรายตาไปทางดรุณี เธอตีหน้ายักษ์ใส่ ส่วนน้าแก้วรู้แกวแอบขำเบาๆ จากนั้นคุณย่าลำดับญาติให้ฟังว่า

“มาด้วยกันอย่างนี้พ่ออาทิจคงรู้จักกับแม่ณีแล้วสินะ แม่ณีเป็นน้องคนหนึ่งของย่า ก็ต้องมีศักดิ์เป็นย่าของพ่ออาทิจด้วย”

“นายอาทิจต้องเรียกหนูว่า คุณย่า ถูกไหมคะ” ดรุณีดี๊ด๊า พอคุณย่ารับว่าใช่ เธอก็หันไปยืดกับเขาทันที ทำเอาอาทิจกระอักกระอ่วนใจ คุณย่าตัดบทว่าคนไทยเรานิยมนับญาติกันตามอายุ ถามอาทิจว่าอายุเท่าไร พอรู้ว่า 20 เศษ คุณย่าบอกว่าแก่กว่าดรุณี 3 ปีเอง บอกดรุณีว่า ให้เธอเรียกอาทิจว่า “พี่” ก็แล้วกัน ทำเอาดรุณีปรับอารมณ์ไม่ทันหน้างํ้าไปเลย
แล้วคุณย่าก็ประทับใจหลานชายคนนี้ เมื่อจัดห้องพักให้แล้ว เขาบอกว่าตนกินอยู่ง่ายขอแค่เสื่อผืนหมอนใบ มีข้าวกินมีที่ดินให้ทำงาน แค่นั้นก็พอแล้ว

“กินง่ายอยู่ง่ายอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะพ่อ” คุณย่าพอใจ แต่ได้ยินเสียงดรุณีกระแอมกระไอพลางลุกขึ้น คุณย่าถามว่าจะไปไหน เธอบอกว่าจู่ๆก็รู้สึกคลื่นไส้เหมือนอ้วกจะแตก คุณย่าเลยฝากว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พาพ่ออาทิจไปด้วยเลย อ้วกเสร็จแล้วจะได้พาพ่ออาทิจไปส่งที่บ้านพัก… ไป…พ่ออาทิจ”

“ครับคุณย่า” อาทิจรับคำลุกขึ้นตามดรุณีที่เดินกระฟัดกระเฟียดไป

ระหว่างทางอาทิจถามว่าไม่พอใจตนเรื่องอะไร ดรุณีไม่บอก เขาเลยเดาว่ากลัวตนจะมาปอกลอกคุณย่าใช่ไหม บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะตนมาที่นี่เพื่อทำงาน และจะพิสูจน์ให้เธอและทุกคนเห็นว่า ตนไม่เหมือนคนอื่น

“ฉันจะคอยดู” ดรุณีพูดใส่หน้าอย่างเย้ยหยัน ท้าทาย

ooooooo

ดรุณีเจ็บใจที่ข่มอาทิจไม่ลง พอใกล้บ้านพักก็ตะโกนเรียกจิ๋วแจ๋ว ลูกสาววัยกำดัดของน้าแก้วให้มาพาอาทิจไปบ้านพักติดนํ้าตกให้หน่อย พอจิ๋วแจ๋วมาเห็นอาทิจเท่านั้น ก็เคลิ้มความหล่อของเขา ดรุณียิ่งหงุดหงิดที่อาทิจหล่อชนะใจสาวๆทุกคน ส่งอาทิจให้จิ๋วแจ๋วแล้วก็สะบัดกลับไป

อาทิจพอใจมากที่บ้านพักอยู่ท่ามกลางดงกล้วยไม้ป่า กลางหุบเขา และติดนํ้าตก บอกจิ๋วแจ๋วว่าน่าอยู่จัง จิ๋วแจ๋วทำหน้าสยองบอกว่าน่าอยู่แต่ไม่มีใครอยากอยู่เพราะลือกันว่าที่นี่ผีดุ ทั้งผีนางตะเคียนและผีนางตานี พูดแล้วก็รีบขอตัวกลับ

อาทิจไม่ใส่ใจกับเรื่องที่จิ๋วแจ๋วพูด เขามองไปรอบๆบ้านอย่างพอใจมากกับอาณาจักรเล็กๆที่ร่มรื่นของตัวเอง จัดแจงเอารูปครอบครัวที่ติดมาวางไว้หัวเตียง พูดกับพ่อในรูปว่า

“ผมจะเป็นตัวแทนไถ่โทษให้คุณพ่อ จะตั้งใจ
ทำงานเพื่อปากท้องและการศึกษาของน้องๆ ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้คุณย่าและทุกคนเห็นครับว่า ลูกชายของคุณพ่อคนนี้ ก็เอาดีกับงานในไร่ในสวนได้เหมือนกัน”

อาทิจมองรูปครอบครัวยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนได้อยู่กันพร้อมหน้ากับทุกคนในครอบครัว

การมาของหลานคุณย่าคนล่าสุด เป็นที่ฮือฮาของพวกคนงาน ที่ลานอเนกประสงค์บ้านพักคนงาน วันนี้จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงความหล่อของหลานคุณย่า จนต๊อดที่ถือว่าตัวเองหล่อที่สุดในสวนส้มนี้แล้วทนฟังไม่ได้ บอกว่าหล่อสักแค่ไหนก็ทนอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสิบวันมีหวังเปิดกลับไปแน่ ถึงขั้นประกาศว่าเสือสองตัวจะอยู่ถํ้าเดียวกันไม่ได้ ตนหล่อเป็นอันดับหนึ่งมาตลอดจะมีใครมาหล่อเกินหน้าตนได้ยังไง

“ถามจริงๆเหอะ ใครไปเข้าฝันบอกเอ็งว่าเอ็งหล่อรึ ถ้าเอ็งหล่อ ข้าสองคนก็แหล่มล่ะวะ” พันกับอึ่งเยาะเย้ยแล้วพากันหัวเราะใส่ต๊อด ทำให้ต๊อดยิ่งเจ็บใจ ประกาศว่า จะไม่ยอมให้ใครมาหล่อบดบังรัศมีตนเด็ดขาด

ooooooo

ดรุณีเห็นคุณย่าเอ็นดูอาทิจก็ระแวงว่าตัวเองจะตกอันดับ ยิ่งเมื่อน้าแก้วบอกว่าถ้าอาทิจขยันและอดทนกับงานหนักได้ด้วยแล้วละก็…มีหวังคุณย่าจะเอ็นดูมากกว่านี้ ก็ยิ่งไม่ชอบหน้า

ระหว่างนั้นเอง คุณย่าก็มาบอกให้น้าแก้วเตรียมอาหารเผื่ออาทิจด้วย ดรุณีนึกว่าคุณย่าจะให้ใครยกไปให้เขาที่บ้านพัก พอรู้ว่าคุณย่าจะให้อาทิจมาร่วมโต๊ะด้วยก็ยิ่งรับไม่ได้ ดังนั้น เมื่อคุณย่าให้ไปเรียกอาทิจมากินข้าวจึงเกี่ยงให้น้าแก้วไปเรียก น้าแก้วอ้างว่าต้องทำอาหาร ดรุณีเลยกระฟัดกระเฟียดไปเรียก

ไปเจออาทิจเพิ่งอาบนํ้าเสร็จนุ่งผ้าขนหนูออกมาพอดี เธอโวยวายว่าอุบาทว์ ไม่มีเสื้อผ้าใส่รึไงถึงได้มายืนเปลือยอยู่อย่างนี้ อาทิจบอกว่าตนเพิ่งอาบนํ้าเสร็จและไม่คิดว่าจะมีใครมาด้วย พูดกวนประสาทว่า

“ผ้าเช็ดตัวผมมีผืนเดียว ผมเลือกอุจาดท่อนบนมันผิดหรือครับ หรือคุณอยากให้ผมอุจาดท่อนล่าง”

ดรุณีด่าอีกรอบแล้วกลับไป อาทิจมองตามขำๆ ถอดผ้าขนหนูออก ที่แท้เขานุ่งกางเกงขาสั้นอยู่ข้างในอีกชั้น

ooooooo

ครู่เดียว อาทิจก็แต่งตัวเรียบร้อยเดินอย่างนอบน้อมเข้ามา ดรุณีที่กำลังฟ้องคุณย่าอยู่นึกหมั่นไส้เลยขอตัวไปอาบนํ้า คุณย่าจึงบอกอาทิจว่ารอน้องไปอาบนํ้าก่อน พาอาทิจไปนั่งคุยกันที่ระเบียงด้านนอก

คุณย่าถามไถ่เรื่องที่พัก อาทิจบอกว่าน่าอยู่มาก คุณย่าจึงบอกเขาว่า อย่าถือสาดรุณีเลยเพราะเป็นเด็กที่สุดในบ้าน แล้วก็ยังขี้น้อยใจและแสนงอนอยู่สักหน่อย

อาทิจบอกว่าตนไม่ถือ เพราะตนก็มีน้องสาวหลายคน แต่เอาความเฮี้ยวของน้องๆมารวมกันหมดก็ยังได้ไม่ถึงครึ่งของดรุณี ทำให้คุณย่าหัวเราะขำๆออกมา บอกว่าถึงดรุณีจะบู๊จะซนแต่เป็นคนจิตใจดี ย่ารับรองได้ อาทิจฟังแล้วนึกถามในใจว่าจริงหรือ??

ดรุณียังไม่ไปไหน แอบดูอยู่เห็นคุณย่าหัวเราะอารมณ์ดีก็นึกหมั่นไส้ว่าอาทิจต้องประจบอะไรคุณย่าแน่ๆ

อาบนํ้าเสร็จแล้ว ดรุณีหมั่นไส้อาทิจจนไม่ยอมลงไปกินข้าวร่วมโต๊ะ จนน้าแก้วต้องลงไปบอกคุณย่าว่าเธอท้องเสียกินยาแล้วขอนอนพักก่อน

ระหว่างกินข้าว คุณย่าถามอาทิจว่าต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต เขาบอกว่าที่ดินสักแปลงหนึ่ง คุณย่าถามอีกว่าถ้ามีที่ดินสัก 10 ไร่จะทำอะไร

อาทิจพูดตามหลักวิชาการว่าต้องดูลักษณะดินก่อน คุณย่าถามอีกว่าแล้วจากนั้นจะทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องดูนํ้าด้วยจึงจะเลือกพืชที่เหมาะสมได้ คุณย่าฟังแล้วเปรยๆว่า

“ย่ามีที่ดินเป็นพันไร่ ปลูกอะไรไปตั้งมากมาย ยังไม่รู้เลยว่าดินที่ปลูกเป็นดินเปรี้ยวหรือดินเค็ม แกรู้รึเปล่าแม่แก้ว” คุณย่าหันไปถามน้าแก้วฝ่ายนั้นหัวเราะแหะๆ คุณย่าถามอาทิจว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไง

“มันมีวิธีทดสอบครับ” อาทิจตอบแล้วบรรยายไปตามที่ได้เรียนมา น้าแก้วฟังหูผึ่ง คุณย่าฟังแล้วยิ้มพอใจ แต่ที่นอกห้อง ดรุณีมาแอบฟังอยู่ เหยียดยิ้มอย่างหมั่นไส้ทำนองว่า เก่งมาจากไหนเชียว!

ooooooo

คุณย่ายังคุยกับอาทิจอย่างติดลมเรื่องการทำสวนทำไร่ ถามว่าเขาถนัดทำแบบไหน อาทิจบอกว่าทำได้ทุกอย่างเพราะเกษตรกรที่ดีต้องทำได้ทุกอย่าง เพียงแต่เลือกทำให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เท่านั้น

หลังจากคุยวัดภูมิวัดใจกันแล้ว คุณย่าบอกว่าจะให้อาทิจดูแลทุกอย่างแทนย่า พรุ่งนี้จะพาไปดูที่ทางว่าเราทำอะไรไว้ตรงไหนบ้าง

“คุณย่าใช้ผมได้ทุกอย่าง ผมเองก็จะทำอย่างสุดความสามารถ สิ่งไหนที่ผมไม่รู้ ผมก็พร้อมจะเรียนรู้ เพื่อจะนำมารับใช้คุณย่าให้ได้ครับ” อาทิจปวารณาตนจากใจจริง ถูกคุณย่าค่อนว่าแม่คงสอนให้พูดหวานๆ อย่างนี้ใช่ไหม “ผมไม่ได้อยากจะพูดหวานกับคุณย่า ผมพูดทุกอย่างออกมาจากใจครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ใจพ่อก็หวานด้วยสินะ” คุณย่าหยอก สองย่าหลานมองหน้ากันด้วยความรู้สึกอบอุ่น

เพราะไม่ยอมไปกินข้าวร่วมโต๊ะกับอาทิจ พอตกกลางคืน ดรุณีก็หิวจนทนไม่ได้ ลุกไปเปิดตู้เย็นหยิบนมที่อยู่ในเหยือกมาเทใส่แก้วทรงสูงจนเกือบล้นยกดื่มอึ้กๆๆอย่างหิวจัด น้าแก้วมาเจอถามว่าหิวแล้วใช่ไหม ก็ยังปากแข็งว่าไม่หิว แต่ไม่อยากให้ท้องว่าง น้าแก้วส่ายหน้าแบบ…เชื่อเขาเลย

อึดใจเดียวอาทิจก็เข้ามาทักว่า ท้องเสียแล้วมาดื่มนมเดี๋ยวได้ท้องร่วงทั้งคืนหรอก ดรุณีถามว่าใครบอกว่าตนท้องเสีย อาทิจเลยเอะใจว่าคงเป็นข้ออ้างไม่ลงมากินข้าวของเธอ ถามว่าเธอจะเลี่ยงได้สักกี่มื้อ เพราะถ้าคุณย่าสั่งตนก็ต้องมาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เตือนอีกครั้งว่าดื่มนมตอนหิวจัดๆทำให้ปวดท้องได้

ดรุณีกระฟัดกระเฟียดใส่ว่าไม่ต้องมายุ่งกับตนไม่ต้องพูดกันได้เลยยิ่งดี พอดีน้าแก้วเอานมอุ่นๆเข้ามาอาทิจถามว่าของคุณย่าใช่ไหมเดี๋ยวตนยกไปเองเพราะคุณย่าใช้ให้ตนมาเอา

“นี่มันหน้าที่ประจำของฉัน ฉันดื่มนมกับคุณย่าทุกวัน ใครไม่เกี่ยว…ถอยไป” ดรุณีฉวยถาดใส่นมไปเลย

“ไหนบอก…ไม่ต้องพูดกันเลยยิ่งดีไง แล้วนี่ใครพูดกับใครก่อนค้า” อาทิจทำเสียงประชด

ดรุณีค้อนขวับแก้เกี้ยวแล้วถือถาดเดินตึงๆไป น้าแก้ว กับอาทิจพยักหน้าให้กันแบบ…เห็นรึยัง…

ขณะดรุณีเอานมอุ่นๆไปให้คุณย่านั่นเอง อาทิจก็ถือถาดใส่นมแก้วใหญ่เท่าเหยือกมากับน้าแก้ว ยกแก้วใหญ่ให้ดรุณี บอกว่าแก้วนี้ของเธอ ดรุณีไม่กล้าแผลงฤทธิ์เลยต้องดื่มนมเข้าไปอีกแก้วใหญ่ มิหนำซํ้า คุณย่ายังชวนชนแก้วนมเป็นการต้อนรับอาทิจด้วย ดรุณีจำต้อง กลํ้ากลืนดื่มนมไปอีกแก้วใหญ่ เสร็จแล้วก็ต้องแอบไปอ้วกที่ใต้ต้นไม้ข้างบ้านคุณย่านั่นเอง

ระหว่างนั้น ต๊อดที่ถูกคุณย่าสั่งให้ไปนอนเป็นเพื่อนอาทิจเดินมาเห็นเงาตะคุ่มๆ นึกว่าผีหลอกร้องจ๊าก ดรุณีถามว่ามาทำอะไรแถวนี้

ooooooo

พอกลับขึ้นไปที่ระเบียงบ้านคุณย่า คุณย่าบอกอาทิจให้เอาหมอนกับผ้านวมไปเผื่อตอนดึกจะหนาว ดรุณีเลยขู่ว่าอาจจะไม่หนาวเพราะมีผีนางตานีมานอนกอดให้อุ่นทั้งคืนก็ได้

คุณย่าบอกว่าที่บ้านนั้นยังไม่มีไฟฟ้าเพราะไม่ค่อยมีคนไปอยู่ ไม่สะดวกอย่างไรก็ให้บอก ดรุณีรีบบอกว่าตนง่วงแล้วชวนคุณย่าไปนอนกันเถอะ แก้วมาบอกอาทิจว่าตนให้คนเอานํ้ามันไปให้ที่บ้านแล้ว ถ้าตะเกียงนํ้ามันหมดก็เติมเอา

เพราะถูกทั้งจิ๋วแจ๋วกับดรุณีขู่ไว้มาก พอกลับมาเจอบ้านที่อยู่ในร่มไม้ทึบลมพัดใบไม้ไหวเอนไปมา อาทิจก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ ปลอบใจตัวเองแล้วกระโดดแผล็วขึ้นบ้านรีบปิดประตูแน่นหนา

แล้วอาทิจก็ตกใจแทบช็อกเมื่อมองหานํ้ามันจะมาเติมตะเกียง เจอมือลึกลับยื่นขวดนํ้ามันมาให้ กว่าจะรู้ว่าเป็นต๊อดก็ทำเอาแทบหัวใจวาย แล้วก็กลายเป็นเคืองเมื่อรู้ว่าเป็นแผนแกล้งตนของดรุณี

แต่คืนนี้ ทั้งต๊อดและอาทิจก็คุยกันอย่างสนิทสนมเมื่อต๊อดบอกว่าตนเป็นคนมหาสารคาม ส่วนอาทิจก็บอกว่าแม่ตนเป็นคนขอนแก่นแต่งงานกับพ่อแล้วเลยย้ายมาอยู่ที่ปากช่อง ทั้งสองเลยพูดเว่าอีสานกันอย่างสนิทสนม

ดรุณีปีนต้นไม้แอบดูผลงานของต๊อด เธอเจ็บใจเพราะแทนที่ต๊อดจะหลอกหลอนอาทิจกลับคุยกันอย่างสนิทสนม สนุกสนาน กระโดดลงจากต้นไม้เดินไปถูกกิ่งไม้หักเกือบโดนหลัง เธอตกใจนึกว่าผีหลอกร้องกรี๊ดๆ วิ่งหนีไป

อาทิจมายืนตรงหน้าต่าง หัวเราะขำๆความเกรียนของดรุณี

ooooooo

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คุณย่าพาอาทิจไปดูสวน คุณย่าเดินเท้าเปล่าไปตามแนวหญ้าที่ขึ้นอยู่ข้างสวน บอกว่า เคยอ่านหนังสือฝรั่งเขาบอกว่า การเดินอย่างนี้ช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนแล้วก็แข็งแรงด้วย

คุณย่าบอกว่าจำเป็นที่ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพราะลูกหลานไปเอาดีทางราชการกันหมด ไม่มีใครมาดูแลสวนส้ม ถามว่าแล้วประวิทย์ไปรับราชการพออยู่พอกินไหมล่ะ

“ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยปลูกผักทำขนมขายก็ไม่พอครับคุณย่า คุณพ่อท่านไม่เคยรับเงินใต้โต๊ะจากใคร ไม่เคยโกงใคร เงินเดือนที่ท่านได้รับเป็นเงินจากหยาดเหงื่อแรงงานบริสุทธิ์ของท่านจริงๆ”

คุณย่าบอกว่านั่นเป็นข้อดีที่พ่อเขาได้รับจากคุณปู่ หวังว่าเขาจะได้เลือดคุณปู่มาเหมือนกัน อาทิจบอกว่าตนได้รับเลือดคุณย่ามาด้วย อยากเป็นชาวไร่ชาวสวน และจะเป็นชาวไร่ชาวสวนที่ดีแบบคุณย่าด้วย ทำให้ย่าหลานยิ่งมีความรักความผูกพันกันมากขึ้น

อาทิจถามว่าคุณย่าได้รับแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่จากที่ไหนถึงเข้มแข็งได้อย่างนี้ คุณย่าบอกว่าได้จากในหลวง ท่านเหนื่อยยากทุกอย่างก็เพื่อให้ชาวไร่ชาวนาเราได้อยู่ดีกินดี พวกเราต้องตอบแทนท่านด้วยการนำสิ่งที่ท่านสอน ท่านให้ มาปรับใช้อย่างเหมาะสมด้วยความรักความศรัทธาในผืนดินที่เราทำกิน

“ผมจะนำแรงบันดาลใจที่คุณย่าได้รับจากพระองค์ท่านมาเป็นคติประจำใจในการทำงานครับ” คุณย่าฝากความหวังไว้ว่าเขาจะสานงานที่เป็นประโยชน์อย่างนี้ต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน อาทิจสัญญาว่า “ผมจะพยายามเต็มที่ จะพยายามอย่างสุดชีวิต สุดหัวใจครับคุณย่า”

ooooooo

ความหล่อ ความมีน้ำใจ ความไม่ถือตัว และความมุ่งมั่นในการทำงานของอาทิจเป็นที่กล่าวขวัญและชื่นชมของบรรดาคนงาน เมื่อคุณย่าพาไปแนะนำตัวแก่ไพฑูรหัวหน้าแผนกเครื่องมือและดูแลผลผลิตและนายเกร็งหัวหน้าคนงาน บอกทั้งสองว่า ต่อไปจะให้อาทิจช่วยดูแลงานแทน

เมื่อคุณย่าถามไพฑูรว่ารถแทรกเตอร์ที่เสียเอาไปซ่อมหรือยัง ไพฑูรบอกว่าแจ้งไปแล้วแต่ช่างไม่ว่างสักที อาทิจจึงอาสาจะลองซ่อมดู ทำให้ไพฑูรหมั่นไส้ เมื่อได้คุยกับดรุณีทั้งสองจึงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ซ้ำไพฑูรยังยุแหย่ว่าไปๆมาๆอาทิจจะเบียดตำแหน่งหลานรัก

คุณย่าจากเธอไปแล้ว ทำให้ดรุณียิ่งเกลียดชังเขา

น้าแก้วรู้ว่าอาทิจอาสาซ่อมแทรกเตอร์ก็พูดอย่างตื่นเต้นกับคุณย่าว่า ถ้าทำได้ก็นับว่าเก่งมากเลย

“ซ่อมได้หรือไม่ได้ มันไม่สำคัญเท่ากับการที่เราได้เห็นความมีน้ำใจและความตั้งใจดีของคนคนหนึ่งหรอกแม่แก้ว ดูโดยรวมแล้ว พ่ออาทิจเขาเป็นคนที่มี

ความคิด มีความมุ่งมั่นตั้งใจแล้วก็พร้อมจะเรียนรู้และรับฟัง แกต้องไปเห็นตอนที่ตาเกร็งร่ายยาวเรื่องงานในสวนส้มให้พ่ออาทิจฟัง พ่ออาทิจน่ะยืนฟังตาแป๋วเลย”

คุณย่าชมไปถึงพ่อแม่อาทิจว่าสอนลูกมาดี ตอนนี้ก็เหลืออยู่แต่ว่าอาทิจจะอดทนและทำได้อย่างตั้งใจหรือเปล่า ดรุณีมาแอบฟังอยู่บ่นอย่างน้อยใจที่คุณย่าไม่พูดถึงไม่ถามถึงตนเลยสักคำ วิ่งไปจากตรงนั้น เลยไม่ทันได้ฟังคุณย่าถามถึงตัวเองว่า

“นี่แม่ณีไปไหนล่ะ” แก้วบอกว่าไปอ่านหนังสือหายไปทั้งวันเลย คงกลัวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ “มีหลานเกือบ 30 คน ฝากผีฝากไข้ได้สักสองคนก็ยังดีนะแม่แก้วนะ” คุณย่าพูดอย่างมีความสุขกับคนที่คิดว่าจะฝากความหวังได้

ooooooo

ที่แท้ดรุณีวิ่งไปนั่งคุดคู้ที่ใต้ต้นส้มแสนรักของตัวเอง ระบายความอัดอั้นในใจออกมา น้ำตาอาบหน้า…

ดรุณีน้อยใจหวาดระแวง เพราะตัวเองมีปมด้อยที่เป็นลูกกำพร้า ที่แท้แล้วเธอไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขในตระกูลนี้เลย

เธอคือลูกของแม่ดัดที่เป็นเมียคนหนึ่งของคุณพ่อของย่า และตนก็เป็นเพียงลูกของผู้ชายที่ทิ้งแม่ไปตั้งแต่ตนยังอยู่ในท้องเท่านั้น เป็นบุญของตนที่คุณย่าเก็บมาเลี้ยงทั้งที่ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลนี้เลยแม้แต่น้อย

ดรุณีไปร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใต้ต้นส้ม ซบกับแผ่นแม่ธรณีราวกับจะให้แม่ธรณีโอบกอดให้ความอบอุ่น ร้องไห้จนหลับไป เมื่อถึงเวลาทานข้าวก็ยังไม่ไป คุณย่าเป็นห่วงมากให้น้าแก้วไปตาม

ระหว่างนั้น คุณย่าถามอาทิจว่าซ่อมแทรกเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง อาทิจบอกว่าที่จริงตนไม่ได้เรียนมาทางนี้ แต่เคยเห็นเขาซ่อมจึงลองถอดเครื่องออกมาดู ขอคุณย่าว่า ถ้าซ่อมได้จะขอเอาไปบุกเบิกที่หลังบ้านพักได้ไหม ตนอยากปลูกผักเพราะเห็นคุณย่าชอบทานผัก

เมื่อคุณย่าอนุญาตเขาเอ่ยปากขอคุณย่าช่วยจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ให้ก่อนได้ไหม แล้วตนจะผ่อนคืนให้ภายหลัง

“ได้สิ ถึงย่าไม่มีเงิน ย่าก็จะดิ้นรนหาให้พ่อจนได้ ขออย่างเดียว…ขอให้พ่อตั้งใจทำอย่างเต็มกำลังก็แล้วกัน ย่าสนับสนุนเต็มที่”

อาทิจยกมือไหว้ขอบคุณคุณย่าด้วยความซาบซึ้งใจ

ooooooo

น้าแก้วตามไปเจอดรุณีหลับอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อกลับมาเล่าให้คุณย่าฟัง คุณย่าทั้งปลอบโยนและบ่นดรุณีว่าน้อยใจอะไรไม่เข้าเรื่อง ไปร้อนรนอิจฉาอาทิจทั้งที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจเราเองนั่นแหละที่จะเป็นทุกข์ เมื่อดรุณีบอกความน้อยใจในความเป็นมาของตน คุณย่ามองลึกเข้าไปในดวงตาเธอ พูดอย่างจริงจัง เมตตาว่า

“ฟังย่าให้ดีนะแม่ณี หนูจะเป็นลูกใครไม่สำคัญ ให้รู้ไว้อย่างเดียวว่าย่ารักและนับหนูเป็นน้องเป็นหลานในไส้เท่านั้นเป็นพอ อย่าน้อยใจไปเลยลูก”

ย่าหลานโผเข้ากอดกันด้วยความรัก ความเข้าใจ น้าแก้วนั่งเช็ดน้ำตาดูอยู่ด้วยความตื้นตันไปด้วย

คืนนี้ อาทิจเขียนจดหมายถึงบ้านเล่าความรู้สึกดีๆ และการต้อนรับที่อบอุ่นของคุณย่าให้ฟัง ทั้งยังเล่าว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับตน แต่ตนจะพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่แค่เพื่อให้เขาได้เห็น แต่เพื่อให้ทุกคนที่นี่ได้เห็น โดยเฉพาะคุณย่า ตนจะทำให้คุณย่ายอมรับตนและอภัยให้คุณพ่อให้ได้

ต๊อดมาเห็นอาทิจเขียนจดหมายก็แซวว่าเขียนถึงแฟนหรือ อาทิจบอกว่าตนไม่มีแฟน เพราะชีวิตตนมีแต่เรียนกับทำงานอยู่ในไร่ในสวน แล้วใช้ให้ต๊อดไปหาซื้อวัตถุดิบให้ตนเพื่อมาทำน้ำหมักชีวภาพคืนนี้ ต๊อดถามว่ามีโอทีรึเปล่า

“โอทีไม่มี มีแต่โอถีบ เอาไหม” อาทิจพูดไม่ทันขาดคำ ต๊อดก็วิ่งอ้าวพ้นรัศมีเท้าไปแล้ว

ooooooo

แม้จะได้รับคำปลอบโยนจากคุณย่าจนสบายใจแล้ว ดรุณีก็ยังไม่วายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาทิจอยู่ดี เพียงแต่เดินสวนกันก็เผชิญหน้ากันแบบไม่มีใครยอมหลีกทางให้ใคร

วันนี้ อาทิจขออนุญาตคุณย่าไปหาซื้ออะไหล่บางตัวในจังหวัดและแวะส่งจดหมายไปบ้านด้วย คุณย่าเลยให้ดรุณีที่จะไปซื้อหนังสือไปด้วยกันเสียเลยจะได้ไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถและไม่ต้องเปลืองคนขับรถด้วย ดรุณีมีข้อแม้ว่าต้องให้น้าแก้วไปด้วย แต่ไม่ยอมนั่งติดกับอาทิจที่ทำหน้าที่คนขับรถ

กว่าจะตกลงกันได้ก็ต้องให้คุณย่ามาสั่งการให้น้าแก้วมานั่งคั่นกลาง จึงออกเดินทางได้สำเร็จ

ooooooo

ธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง 

———————

รายชื่อนักแสดง ธรณีนี่นี้ใครครอง :

ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ณเดชน์ คูกิมิยะ รับบท อาทิจ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละครอุรัสยา เสปอร์บันด์ รับบท ดรุณี
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย รับบท วิยะดา
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร สาวิตรี สุทธิชานนท์ รับบท ตุลยานี
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร วิวิศน์ บวรกีรติขจร รับบท เวทางค์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เฉลิมพล ทิฆัมพรธีระวงศ์ รับบท อึ่ง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร กนกพงศ์ อนุรักษ์จรรยง รับบท พัน
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เอ เชิญยิ้ม รับบท ต๊อด
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ดวงตา ตุงคะมณี รับบท ย่าแดง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ดารณีนุช โพธิปิติ รับบท น้าแก้ว
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร รุ้งทอง ร่วมทอง รับบท วิไลลักษณ์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เวนย์ ฟอลโคเนอร์ รับบท ประเวทย์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เบญจพล เชยอรุณ รับบท ไพฑูร
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ตี๋ ดอกสะเดา รับบท เกร็ง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ศิรินุช รับบท เพชรอุไร รับบท คำมา
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ศานติ สันติเวชกุล รับบท สิงห์ทอง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร จาตุรงค์ โกลิมาศ รับบท ทองใบ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร วีรชัย หัตถโกวิทย์ รับบท ยรรยง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ขวัญชีวา เอี่ยมสะอาด รับบท จิ๋วแจ๋ว

Image

ดูละครธรณีนี่นี้ใครครองย้อนหลัง ทั้งหมดที่นี่

ละครย้อนหลัง > ละครย้อนหลังช่อง3 >  ธรณีนี่นี้ใครครอง

ธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2

 

Tags: , , , , , , , , , , , , ,

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

ละครธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละครธรณีนี่นี้ใครครอง อ่านเรื่องย่อละครทั้งหมด
ละครธรณีนี่นี้ใครครองทางช่อง 3 เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง จบบริบูรณ์

เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1

Image

ธรณีนี่นี้ใครครอง ละครธรณีนี่นี้ใครครอง ละครช่อง3

ธรณีนี่นี้ใครครอง บทประพันธ์ : กาญจนา นาคนันทน์
ธรณีนี่นี้ใครครอง บทโทรทัศน์ : ปารดา กันตพัฒนกุล
ธรณีนี่นี้ใครครอง กำกับการแสดง : ป้าแจ๋ว – ยุทธนา ล.พันธ์ไพบูลย์
ธรณีนี่นี้ใครครอง แนวละคร : โรแมนติค ดราม่า
ธรณีนี่นี้ใครครอง ผลิต : บริษัทโนพรอบเล็มจำกัด โดย ธิติมา สังขพิทักษ์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ออกอากาศ : *ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30 น.
ธรณีนี่นี้ใครครอง ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก ศุกร์ที่ 29 มิถุนายน นี้

เรื่องย่อธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1

ณ แปลงทดลองปลูกข้าวโพดขนาดใหญ่ที่ปากช่อง…อาทิตย์สาดแสงอ่อนๆ ไล้ยอดข้าวโพดที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมเหมือนคลื่นน้อยๆ โลดไล่กันไปในทะเลสีเขียว

นักเรียนเกษตรประมาณ 20 คน กำลังกระจายกันไปตามไร่ข้าวโพดที่กำลังออกฝัก ทุกคนขะมักเขม้นกับการเก็บข้อมูล จดรายงานการเจริญเติบโตของต้นข้าวโพด ต่างยังจดจำคำให้โอวาทของอธิการบดีในวันรับประกาศนียบัตรได้ขึ้นใจ

“อาจารย์มีความยินดีกับนักเรียนเกษตรฯทุกคนที่จบการศึกษาในวันนี้ หลังจากที่บากบั่นพากเพียรกันมากว่า 5 ปี อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักเรียนทุกคน จะได้นำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า…”

อาจารย์หยุดนิดหนึ่งก่อนอัญเชิญพระราชดำรัสว่า

“ปัญญานั้นมีอยู่ 2 ลักษณะ คือปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียนจดจำอย่างหนึ่ง กับปัญญาที่เกิดจากการศึกษา สังเกตและพิจารณาจนรู้ชัดอย่างหนึ่ง นักเรียนเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดีแล้ว จึงต้องสังเกตและศึกษาให้มาก ไม่มองข้ามแม้สิ่งเล็กน้อย เพราะแม้แต่ต้นหญ้าก็สามารถนำมาเทียบเคียงให้เป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตได้”

สุดท้ายอาจารย์อวยพรแก่นักเรียนที่เรียนจบว่า “ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรให้แก่ประเทศชาติสืบไป”

ระหว่างนักเรียนกำลังเก็บข้อมูลกันนั้น อาจารย์เดินมาที่ข้างหลังนักเรียนคนหนึ่งถามหาอาทิจ นักเรียนสองสามคนตรงนั้นช่วยกันถามหา มองหาและร้องเรียก “อาทิจ…อาทิจ…อาจารย์เรียก”

ครู่เดียวต้นข้าวโพดก็ไหวยวบเปิดเป็นทางเพราะอาทิจแหวกออกมา เขารีบวิ่งเข้าไปหาอาจารย์ถามอย่างกระตือรือร้น

“อาจารย์มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”

“พรุ่งนี้อาจารย์จะขึ้นไปสัมมนาที่พิพิธภัณฑ์โรงงานที่ฝาง เธอสนใจจะไปศึกษางานกับอาจารย์ไหม อาจารย์บอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่า อาจจะมีนักเรียนที่ได้ทุนเรียนดีขึ้นไปดูงานด้วย 3 คน หรือว่าจะกลับไปบ้านเลย”

“ไปสิครับ ผมอยากไป” อาทิจรีบบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ดีแล้ว ไปดูงานที่ในหลวงท่านทรงไว้ จะได้นำ ความรู้ไปใช้ให้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง”

“ครับ…ขอบคุณมากครับอาจารย์” อาทิจยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อาจารย์ยิ้มตบบ่าเขาเบา ก่อนเดินออกไป

อาทิจหันมาสบตากับเพื่อนๆพากันตะโกน “เย้ๆๆๆ” กระโดดโลดเต้น โยนสมุดรายงานในมือขึ้นฟ้ากันอย่างร่าเริง…

ooooooo

รุ่งขึ้น ที่หน้า “พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวง” ที่ฝาง อาทิจกับเพื่อนนักเรียนอีก 2 คน รวมทั้งนักท่องเที่ยวอีก 10 คน เดินตามเจ้าหน้าที่นำชมโครงการ เริ่มจากความหมายของตราสัญลักษณ์ของโรงงานและประวัติความเป็นมาของโรงงาน

อาทิจจดบันทึกอย่างสนใจมาก

ขณะนั้น มีรถกระบะขนส้มคันหนึ่งแล่นเข้ามาแบบกระตุกๆ พุ่งผ่านหลังอาทิจไปจอดส่งของที่ข้างโรงงาน

ทันทีที่รถจอด ดรุณี สาววัย 17 ท่าทางทะมัดทะแมง กระโดดลงจากฝั่งที่นั่งคนขับ หยิบกระเป๋าสะพายเก๋ๆแบบชาวเขาจะวิ่งไป แต่นึกอะไรได้วิ่งกลับมาที่รถร้องเรียก “ลุงเกร็ง…ลุงเกร็งงงง…”

ลุงเกร็งค่อยๆลืมตาขึ้นถามทั้งที่ยังนั่งเกร็งอยู่เพราะหวาดเสียวกับการขับรถของดรุณี ถอนใจโล่งอกเมื่อรู้ว่าถึงที่หมายรอดปลอดภัยแล้ว ดรุณีบอกลุงเกร็งให้ช่วยจัดเจ้าหน้าที่เอาส้มลง ตนจะไปชมพิพิธภัณฑ์หน่อย ว่าแล้ววิ่งตื๋อไปเลย

ooooooo

ดรุณีจ้ำอ้าวไปที่ลานกิจกรรมแต่ไม่เห็นใครแล้ว รีบเดินเข้าไปด้านใน เห็นเจ้าหน้าที่กำลังเชิญทุกคนไปชมอีกห้องหนึ่ง เธอรีบตามไป

เจ้าหน้าที่นำนักเรียนและนักท่องเที่ยวเข้าไปในห้องที่แสดงชีวิตชายขอบ เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนนั่ง อาทิจกับเพื่อนๆเลือกมานั่งที่แถวหน้าประสาคนรักเรียนใฝ่รู้ อาทิจนั่งกลางเพื่อนทั้งสองนั่งขนาบ

ดรุณีเดินเข้ามา พอดีอาทิจเอาปากกาออกมาเตรียมจดปรากฏว่าเขียนไม่ออก หันไปถามเพื่อนว่ามีปากกาอีกด้ามไหมขอยืมหน่อย เพื่อนควานหาปากกาในกระเป๋า ทำให้ปากกาตัวเองหล่นกลิ้งไปเลยลุกไปหยิบ

ดรุณีเห็นมีที่ว่างจึงเข้าไปนั่งแทน อาทิจเหล่ๆเห็นปากกาในมือดรุณีนึกว่าเพื่อนส่งให้ยืม เอ่ยขอบใจแล้วหยิบปากกาไป พลางหันไปคุยกับเพื่อนอีกคน

เจ้าหน้าที่ปิดไฟในห้องเพื่อให้ทุกคนได้ชมวีดิทัศน์ เพื่อนคนนั้นที่ลุกไปหยิบปากกาเลยหาที่นั่งใหม่เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิคนอื่น

ดรุณีดูสารคดีอย่างตั้งใจ จนจบไฟเปิดสว่าง เธอหันไปมองอาทิจที่เอาปากกาตนไป อาทิจรู้สึกมีคนมองอยู่จึงหันมายิ้มให้อย่างมีไมตรีไม่เฉลียวใจสักนิดว่าตนหยิบปากกาใครมา ดรุณีกำลังจะเอ่ยปากทวงปากกา ก็พอดีเจ้าหน้าที่เชิญไปพบกับคำตอบที่อยู่อีกห้องหนึ่ง

อาทิจลุกตามเจ้าหน้าที่ไป ดรุณีมองเคืองๆ บ่นตามหลัง “เอาของเขาไปแล้วยังจะมายิ้มให้อีก” พลางจ้ำตามไป

พอเข้าไปในห้องภาพเฉลย เจ้าหน้าที่เฉลยว่า “ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์นั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

จากนั้นเชิญไปยังห้องโรงงานชั่วคราว ระหว่างนั้นเพื่อนนักเรียนกระซิบบอกอาทิจว่าผู้หญิงคนนั้นแอบมองเขาบ่อยๆ อีกคนบอกว่าไม่ใช่แอบมองเท่านั้นยังแอบเดินตามด้วย

อึดใจเดียว ดรุณีก็ทนไม่ได้เดินเข้าใกล้อาทิจร้องบอก “เดี๋ยว…อย่าเพิ่งไป” เพื่อนทั้งสองนึกว่าอาทิจเจอดีแน่แล้วต่างบอกว่าจะไปรอข้างนอกแล้วเลี่ยงไปเหมือนเปิดโอกาสให้เพื่อน ดรุณีเดินเข้าไปหาอาทิจบอกเขาว่า

“ช่วยเอาปากกาที่นายถือวิสาสะดึงจากมือฉันไปคืนมาด้วย”

อาทิจทำหน้าเหวอๆ พอนึกได้ก็รีบขอโทษและส่งปากกาคืนให้บอกว่านึกว่าของเพื่อนตน ดรุณีถามอย่างไม่ยอมให้แก้ตัวง่ายๆ ว่าตนนั่งอยู่ข้างเขาแล้วจะนึกว่าเป็นเพื่อนได้ยังไง อาทิจตอบอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดว่า

“คือ…ก็…เพื่อนผมเขานั่งตรงที่ที่คุณนั่งก่อน… เออ…เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันครับ”

“ทีหลังจะทำอะไรก็หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้าง” ว่าแล้วก็สะบัดพรืดไป อาทิจมองตาปรอยพึมพำอ่อยๆ

“แค่ปากกานี้เนี่ยนะ?…”

ooooooo

เมื่อเข้ามาในห้องโรงงานชั่วคราว เจ้าหน้าที่เล่าถึงระยะแรกของการทำอาหารกระป๋องในโรงงานชั่วคราวประกอบภาพสไลด์มัลติวิชั่น

ดรุณีสนใจการทำอาหารกระป๋อง จึงเดินแทรกเข้าไปยืนด้านหน้าสุดข้างๆเพื่อนอาทิจ เธอมีสมาธิในการศึกษามาก ก้มๆเงยๆจดๆดูๆภาพเงาและฟังเสียงบรรยาย

นักท่องเที่ยวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่าอยากเห็นเครื่องกระป๋องที่แปรรูป เจ้าหน้าที่จึงเชิญไปยังห้องที่มีจำหน่ายและให้ชิม นักท่องเที่ยวทยอยกันเดินตามเจ้าหน้าที่ไป

อาทิจศึกษาอย่างสนใจ ตามองที่ภาพปากพูดกับเพื่อนว่าเทคนิคน่าสนใจดี ดูแล้วเข้าใจง่าย เพื่อนคนหนึ่งทำเสียงอือเห็นด้วย แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ไปกับเพื่อนอีกคน อาทิจนึกว่าเพื่อนยังอยู่ เขาคุยไปเรื่อย ดรุณียืนอยู่ติดกันเหล่มองด่าด้วยสายตาทำนองว่า “อีตาบ้านี่อีกละ” แล้วจะผละไป

พลันเธอก็ชะงักกึกยืนตัวแข็งทื่อเมื่อถูกอาทิจรั้งไว้แล้วเอามือโอบไหล่บอกว่าอย่าเพิ่งไป ชวนดูภาพที่ฉายต่อ ดรุณีกัดฟันกรอด อาทิจเห็นเงียบไปเลยหันมอง เขาผงะยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ตนโอบไหล่อยู่เป็นใคร เขารีบขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าเพื่อน ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวไป ทั้งอายทั้งกลัวโดนด่า

ดรุณีโกรธจนอยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่ไม่กล้า เลยได้แต่ยืนสูดลมหายใจลึกๆ ลึกๆ สะกดอารมณ์เต็มที่

ooooooo
ที่สวนส้มเนื้อที่กว้างขวางของย่าแดง ที่ทุกคนเรียกท่านว่าคุณย่า ปกติจะเงียบสงบเพราะแถวนั้นคนงานอยู่ประมาณ 20 คน ทุกคนทำงานขยันขันแข็ง แต่วันนี้มีเสียงแผดกรี๊ดดดด เสียงแหลมแหวกอากาศไปทั่วสวนส้ม

พวกคนงานพากันวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอมาถึงเห็นน้าแก้ววัย 60 เศษ ญาติห่างๆของคุณย่าที่มาดูแลคุณย่า จึงเป็นทั้งญาติและคนคอยรับใช้คุณย่า ยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่ ใกล้ๆนั้นดรุณีที่เพิ่งแผดเสียงกรี๊ดจนคนงานแตกตื่น ยืนทำหน้าง้ำ พวกคนงานพากันโล่งอก

“หนูโมโหจริงๆนะคะ น้าแก้วขำอะไร”

“ก็น้าแก้วกำลังสงสัยน่ะสิคะว่า คุณณีโดนพ่อหนุ่มคนนั้นโอบไหล่เฉยๆ หรือว่าโดนจุ๊บมากันแน่ ถึงได้กรี๊ดลั่นสวนยาว 3 รอบอย่างนี้”

ดรุณีทำฮึดฮัดบอกว่าก็ลองดูสิ ตนจะได้ชกให้ บ่นว่าผู้ชายอะไรซุ่มซ่ามบ้ากาม ถ้าไม่คิดว่าเป็นสถานที่ที่ต้องเคารพ จะโวยแล้วอัดเสียให้จุกไปเลย

“เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกแม่ณี สถานที่ศึกษาหา ความรู้อย่างนั้น คงไม่มีใครคิดจะเข้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม หรอกน่า” ย่าแดงที่กำลังตัดแต่งกิ่งส้มอยู่ติง แล้วไล่พวกคนงานให้ไปทำงานเสีย หันมาบอกดรุณีว่า “เราก็เหมือนกัน จะมายืนอารมณ์เสียอยู่ทำไม มาช่วยย่าแต่งกิ่งส้มนี่ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีขึ้นเอง ได้ประโยชน์ด้วย”

ดรุณีจำต้องหันไปหยิบกรรไกรตัดแต่งกิ่งส้ม งับกรรไกรฉับๆๆ บ่นลอดไรฟัน

“อย่างนี้มันโรคจิตชัดๆ เป็นพวกขาดความรักแหงๆ”

ooooooo

ที่บ้านพักนายประวิทย์ ปลัดอำเภอ พ่อของอาทิจ ชายหนุ่มก้าวเข้ามา เห็นนิตยาและภาณี น้องสาวสองคนกำลังพาน้องๆรดน้ำต้นไม้และพรวนดินที่แปลงพืชผักสวนครัวอยู่หน้าบ้าน นิตยาเหลือบเห็นอาทิจก็ร้องออกมาอย่างดีใจสุดๆ

“พี่อาทิจ!!”

สิ้นเสียงนิตยา น้องๆก็วิ่งกรูกันมาห้อมล้อมอาทิจเป็นพรวน เพราะเขาเป็นพี่คนโตและมีน้องๆอีกถึง 9 คน ภาณีวิ่งไปบอกพ่อกับแม่ว่าอาทิจกลับมาแล้ว ส่วนอาทิจ ยังถูกน้องๆมะรุมมะตุ้มจับแขนกอดขา ดึงเสื้ออยู่ที่หน้าบ้าน

อาทิจกอดและโอบน้องๆไว้บอกว่า “พี่คิดถึงทุกคนที่สุดเลยรู้ไหม”

ประวิทย์และพูนทรัพย์ผู้เป็นแม่เดินอ้าวออกมาโดยพูนทรัพย์อุ้มลูกวัย 8 เดือน น้องคนเล็กของอาทิจ ออกมาด้วย ทุกคนดีใจมากกับการเรียนจบและกลับมาของเขา บรรยากาศอบอุ่นเปี่ยมด้วยความรักของคนในครอบครัว

อาทิจบอกพ่อว่าที่จริงตนอยากเรียกต่ออีกสักสองปีจะได้รับปริญญา แต่สงสารนิตยากับภาณีที่เสียสละหยุดเรียนเพื่อให้ตนได้เรียน เลยเปลี่ยนใจมาหางานทำเพื่อส่งน้องๆเรียนดีกว่า

พูนทรัพย์ถามว่าเขาอยากทำอะไร อาทิจบอกว่าอยากเป็นชาวไร่ชาวนาเป็นเกษตรกร พูนทรัพย์ติงว่าทุนรอนเราไม่มี ที่ดินสักกระแบะมือก็ไม่มี จะทำได้อย่างไร ประวิทย์ตัดบทว่า ตำแหน่งเกษตรอำเภอที่นี่ว่างอยู่ พรุ่งนี้จะลองคุยกับนายอำเภอดู ตนปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริตมานาน ท่านต้องเห็นใจและเมตตาแน่ๆ

การพูดคุยยุติลงทั้งที่อาทิจไม่อยากทำงานที่พ่อจะขอให้เลย

ooooooo

รุ่งขึ้น ขณะประวิทย์จะออกไปทำงาน พูนทรัพย์ จึงบอกให้อาทิจลองคุยกับพ่อดู เขาบอกพ่อว่าอาชีพรับราชการเงินเดือนคงไม่พอที่จะส่งน้องเรียน แต่ประวิทย์ชี้ให้เห็นว่าถึงเงินเดือนจะน้อยแต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และสวัสดิการ

เมื่ออาทิจชี้แจงเหตุผลและความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อประเทศชาติ ทำให้เขาอยากเป็นเกษตรกรให้พ่อฟังแล้ว ประวิทย์ตัดบทว่า

“อย่าเพิ่งฝันล้มๆแล้งๆกับอุดมคติที่ยังจับต้องไม่ได้ สิ่งที่ลูกเรียนมามันยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความยากลำบากที่ต้องเผชิญในความเป็นจริง ลูกยังไม่เคยเจอสภาพ ไม่เคยรับรู้ว่าการเกิดมาเป็นชาวนาจริงๆมันทุกข์ยากขนาดไหน…พ่อบอกได้เลยว่า มันไม่น่าพิสมัยนักหรอก” น้ำเสียงประวิทย์ขมขื่นจนอาทิจแปลกใจ

แต่เมื่อประวิทย์ไปคุยกับนายอำเภอด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะฝากลูกชายเข้าเป็นเกษตรอำเภอ ซึ่งนายอำเภอก็ยินดีที่เด็กรุ่นใหม่สนใจการเกษตร แต่พอประวิทย์ถามว่าจะเริ่มงานได้วันไหนดี นายอำเภอบอกว่าเริ่มได้ทันทีถ้าหาเงิน 3 แสนมาได้ ทั้งยังขู่ๆว่ารีบๆหน่อยก็แล้วกันเพราะคนที่มาฝากลูกหลานมีหลายคน

ประวิทย์ที่หน้าตาแจ่มใสเปี่ยมด้วยความหวังในตอนแรก บัดนี้ ห่อเหี่ยวหมองคล้ำไปในพริบตา…

ความรู้สึกเสียใจผิดหวังกับข้าราชการบางคนที่กินนอกกินในกินใต้โต๊ะ ทำให้ประวิทย์ไม่คาดหวังงานราชการกับอาทิจอีก บอกลูกว่า

“พ่อว่าบางทีลูกอาจจะคิดถูก เรื่องที่ลูกอยากทำไร่ทำนา บางทีความเหนื่อยยากแต่เป็นอิสรเสรีอาจจะทำให้ลูกมีความสุขมากกว่าต้องมาทนกับระบบพวกพ้องและการประจบเอาหน้าแบบข้าราชการก็ได้”

อาทิจดีใจมาก เขาบอกพ่อว่าจะไปทำงานอย่างอื่นก่อนเก็บเงินมาซื้อที่สักแปลงค่อยผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร

พูนทรัพย์ถามว่าจะไปเช่าที่เขาทำหรือ หาได้เท่าไรก็ไปจมอยู่กับค่าเช่าหมด

“มันอาจจะไม่ยากเย็นขนาดนั้นก็ได้แม่ พ่อพอมีหนทาง ว่าแต่…ลูกจะทนลำบากกับงานในไร่ในสวนได้แน่เหรอ” เมื่ออาทิจยืนยันถึงความอดทนใน 5 ปีที่เรียนมา ประวิทย์ตัดสินใจบอกลูกว่า “ดี…ถ้าลูกตั้งใจและมั่นใจอย่างนั้น พ่อก็จะเขียนจดหมายส่งตัวลูกไปทำไร่ทำสวนกับคุณย่า”

“คุณย่า…คุณย่าไหนครับ” อาทิจถามงงๆ เพราะนับแต่เกิดมาจนอายุ 20 เขายังไม่เคยรับรู้ว่าตนมีคุณย่าเลย

พวกน้องๆก็พากันงงไม่น้อยกว่าเขา ส่วนพูนทรัพย์ ละมือจากทำขนม มองหน้าประวิทย์อย่างแปลกใจแกมหนักใจ

ประวิทย์นิ่ง…เงียบ…แต่ในแววตาเขาแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดและขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด

ooooooo

ที่บ้านคุณย่า คืนนี้คุณย่าออกมานั่งดื่มนมอุ่นๆที่ระเบียง ดรุณีมานั่งดื่มเป็นเพื่อน คุณย่าถามว่าคิดหรือยังว่าจะทำอะไร ดรุณีบอกว่าทีแรกคิดจะสอบเข้าคณะเกษตรจะได้มาช่วยคุณย่าดูแลสวน แต่วันก่อนไปดูงานที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงแล้วเลยลังเล อยากทำอาหารกระป๋องแปรรูป จะได้เอาผักผลไม้ที่เหลือจากคัดไปขายมาแปรรูป ถามคุณย่าว่าดีไหม

คุณย่าเห็นด้วยเพราะงานสวนงานไร่หนักเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ ดรุณีอ้อนว่าทีคุณย่ายังทำคนเดียวมาได้ตั้งนาน

“ย่าทำมาตั้งแต่ยังสาว ตั้งแต่ที่ดินมีแค่กระผีก มันก็เลยชิน แต่ตอนนี้ที่ดินขยายขึ้นเป็นพันไร่ ย่าว่ามันหนักหนาเกินไปสำหรับหนู”

“ถึงจะหนักแสนหนักแค่ไหน หนูก็จะสู้ค่ะ ถ้าไม่มีใครที่คุณย่าพอจะไว้ใจและวางมือให้รับหน้าที่แทนได้ หนูจะขอรับหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณย่าเองค่ะ” ดรุณีฉอเลาะ จนน้าแก้วที่มาเก็บแก้วนมได้ยินก็อดขัดคอไม่ได้ว่า

“แต่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนนะค้า…”

“มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะน้าแก้ว” ตอบน้าแก้วแล้วกอดแขนคุณย่าอ้อน จนคุณย่ากอดไว้อย่างชื่นใจ

ooooooo

สามวันต่อมา คุณย่าก็ได้รับจดหมายจากประ-วิทย์ คุณย่าให้ดรุณีอ่านให้ฟัง โดยมีน้าแก้วที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง นั่งเช็ดแก้วอยู่ใกล้ๆ เงี่ยหูฟังอยู่ด้วย

“…สุดท้ายนี้ ผมกราบขอโทษในความผิดร้ายแรงของผมที่ผ่านมา ผมหวังว่า คุณแม่จะให้อภัยผม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณแม่จะเมตตาอาทิจ และรับอาทิจเข้าทำงานที่สวนของคุณแม่นะครับ…พวกเราจะรอความเมตตาและรอฟังข่าวดีจากคุณแม่ครับ…ประวิทย์”

อ่านจดหมายแล้วดรุณีถามคุณย่าว่าประวิทย์ไหนหรือ ทำไมตนไม่เคยได้ยินคุณย่าพูดถึง…เอ่อ…คุณลุงคนนี้มาก่อนเลย

“เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นแหละ”

น้าแก้วสอดเข้ามาว่า “อ๋อ…คุณประวิทย์ ที่คุณย่าสั่งไม่ให้แก้วส่งข่าวไปบอกตอนคุณปู่เสียใช่ไหมคะ”

“ก็ในเมื่อเขาหนีไปแล้วไม่มีแก่ใจส่งข่าวกลับมา แล้วเราจำเป็นอะไรต้องติดต่อเขา ในเมื่อเขาคิดดีแล้วว่าจะไป ก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์กันให้มากความ” ดรุณีถามว่าคุณย่าโกรธขนาดนั้นเลยหรือ “ใช่…ตอนนั้นย่าทั้งโกรธทั้งเสียใจ เลยประกาศตัดไม่ยอมให้เขาเข้าบ้าน จนคุณปู่ตายก็ไม่ยอมให้มาเผาผี”

ดรุณีมองคุณย่าตาปริบๆ ไม่กล้าวอแว เพราะไม่ค่อยจะเห็นคุณย่าหน้านิ่งเสียงแข็งอย่างนี้

ooooooo

ส่วนที่บ้านประวิทย์ ลูกๆก็เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวในอดีตของเขากับคุณย่าที่พ่อไม่เคยพูดถึงเลย ประวิทย์ยอมรับกับลูกๆว่า ที่ไม่เคยพูดถึงคุณย่าเพราะตนละอายใจ เล่าให้ลูกๆฟังว่า

“ตอนนั้นพ่อเรียนหนักแถมต้องทำงานในไร่ มันเหนื่อยเกินว่าที่พ่อจะทนไหว พ่อก็เลยหนีมาเรียนอย่างเดียว จนกระทั่งแต่งงานมีลูกแล้วก็ยังไม่กล้ากลับไปกราบขอโทษท่าน เพราะละอายใจในความเลวที่ก่อไว้นี่ล่ะ”

ฟังแล้วอาทิจใจห่อเหี่ยวเชื่อว่าคุณย่าคงไม่ให้อภัยพ่อแน่ บอกว่าพรุ่งนี้ตนไปหางานดีกว่า ประวิทย์ให้ความหวังว่า บางทีจดหมายอาจจะยังไม่ถึง อาทิจแย้งว่าหรืออาจจะถูกขยำทิ้งถังขยะไปแล้วก็ได้

“ไม่หรอก พ่อมั่นใจว่าคุณสมบัติและความจริงใจของลูก จะทำให้คุณย่าเปลี่ยนใจ คุณย่าเป็นคนที่รักผืนแผ่นดินมาก คุณย่าย่อมจะต้องรักคนที่รู้จักและรักที่ทำกินบนผืนแผ่นดินด้วย เชื่อพ่อสิ พ่อรู้จักนิสัยของคุณย่าดี”

ทันใดนั้นเอง ภาณีร้องบอกมาอย่างดีใจว่าไปรษณีย์มา ทุกคนกรูกันไปที่หน้าบ้านด้วยความดีใจ แต่พอรับซองจากบุรุษไปรษณีย์กลายเป็นบิลค่าน้ำ…ทุกคนห่อเหี่ยวไปตามกัน

ooooooo

ที่บ้านคุณย่า…คืนนี้ คุณย่ามานั่งบอกให้ดรุณีเขียนจดหมายตอบประวิทย์ ดรุณีเขียนตามคำบอกของคุณย่าเซ็งๆ

“ถามเจ้าอาทิจดูว่า ถ้าต้องมาทำงานกับย่าโดยไม่มีเงินเดือนเลย เขาจะยังอยากมาอยู่ไหม”

ดรุณีตอบแทนทันทีว่านายนั่นต้องไม่มาแน่ๆ คุณย่าสั่งให้เขียนต่อพลางบอกข้อความว่า…

“แม่จะเลี้ยงเจ้าอาทิจเหมือนที่เลี้ยงลูกทุกคน คือไม่มีเงินเดือนให้ แต่จะส่งเสียค่าเล่าเรียนของน้องสาวสองคนเป็นการตอบแทนการทำงาน ถ้าเขาเต็มใจและตกลงตามนี้ ก็ส่งตัวเขามา”

ดรุณีอดไม่ได้อีก บอกคุณย่าว่าเสียเวลาเปล่าๆ นายคนนี้อย่างมากก็แก่กว่าตนไม่กี่ปี เขาน่าจะมีแฟนแล้วและคงอยากเก็บเงินไว้แต่งงานสร้างครอบครัว ถ้าคุณย่าไม่มีเงินเดือนให้ รับรองล้านเปอร์เซ็นต์เขาไม่มาแน่

“นั่นไง…ตั้งป้อมอิจฉาเขาซะแล้ว” คุณย่าดักคอ

“โธ่…คุณย่าขา…หนูจะไปอิจฉาเขาทำไม หลานคุณย่ามาอยู่ที่นี่ตั้งกี่สิบคนแล้ว หนูเห็นเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันทั้งนั้น อยู่ไม่ทนสักราย รายนี้ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ”

“ก็ในเมื่อย่าให้โอกาสหลานคนอื่นได้ ทำไมหลานคนนี้ย่าจะให้โอกาสบ้างไม่ได้”

“หนูพูดเพราะหนูหวังดีนะคะคุณย่า หนูกลัวว่าคุณย่าจะปวดหัวเหมือนที่แล้วๆมาน่ะค่ะ ขนาดได้เงินเดือนยังอยู่กันไม่ทนเลย นับประสาอะไรกับคนไม่ได้เงินเดือน เลิกเขียนดีกว่าค่ะ เขียนไปก็เมื่อยมือเปล่าๆ หนูว่าเขาไม่มาหรอก”

“นั่นสินะ…ขนาดพ่อเขายังเกี่ยงงานในไร่ในสวนว่ามันหนักมันเหนื่อย แล้วลูกจะทนได้สักแค่ไหน ลูกไม้มันจะหล่นไกลต้นได้ยังไง” คุณย่าถอนใจอย่างครุ่นคิด

ooooooo

วันนี้อาทิจแต่งตัวจะไปสมัครงาน ก็พอดีบุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่ง จุดประกายความหวังแก่ทุกคนขึ้นมาอีก แต่แล้วก็ห่อเหี่ยวฟีบแฟบไปตามกัน เมื่อเป็นบิลเก็บค่าไฟ แต่พอบุรุษไปรษณีย์จะกลับก็นึกได้บอกว่ามีอีกฉบับแล้วหยิบส่งให้ประวิทย์ พูนทรัพย์ถามเซ็งๆว่าบิลค่าอะไรอีกล่ะพ่อ

“ไม่ใช่บิลแม่…นี่มัน…มันจดหมายจากคุณย่า…” ประวิทย์ดีใจจนเสียงสั่น สิ้นเสียงเขา ลูกๆก็ประสานเสียงร้องกันให้แซด “เย้ๆๆจดหมายคุณย่า…จดหมายคุณย่า!!” อาทิจใจเต้นตึ้กตั้กอยากรู้ข้อความในจดหมายใจแทบขาด

ทุกคนกรูกันกลับเข้ามาในบ้าน นั่งกันหน้าสลอนจ้องอาทิจตาเป๋ง คอยฟังพี่ชายอ่านจดหมายของคุณย่า

“…ขอให้เข้าใจอย่างนึงว่า เงินของฉันได้มาแสนยากจากแผ่นดินทั้งสิ้น การจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์จึงต้องมีเหตุผล ถ้าเจ้าอาทิจต้องการมาทำงานกับฉัน ก็ขอให้ส่งค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของน้องสาวทั้งสองคนมาด้วย เพราะจากนี้ไป เจ้าอาทิจจะต้องทำงานเพื่อแลกกับการศึกษาของน้อง ถ้าเข้าใจและรับได้ตามนี้ก็เดินทางมาทำงานที่นี่ได้เลย บอกเขาว่าย่าของเขาจะคอยเขาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน หวังว่าแกและเมีย รวมทั้งลูกๆทุกคนคงสบายดี…แม่”

อ่านจดหมายจบ อาทิจมองหน้าพ่อด้วยสีหน้ากังวล บอกว่าสำนวนคุณย่าแข็งปั๋งอย่างกับก้อนหินเลย สงสัยท่านจะดุไม่ใช่เล่น

“ดุแต่ไม่พร่ำเพรื่อ ท่านเป็นผู้หญิงเข้มแข็งมากกว่า การทำงานในไร่ในสวนมันต้องอดทน ถ้ากระดูกไม่แข็งไม่แน่จริงละก็…คุมคนงานผู้ชายเป็นร้อยไม่ได้หรอก”

“ลูกก็ตั้งยี่สิบคนนะคะ เลี้ยงลูกไป ทำงานไปได้ขนาดนี้ ฉันล่ะนับถือจริงๆ” พูนทรัพย์เอ่ยอย่างยกย่องชื่นชม

น้องชายอาทิจเป็นห่วงถามว่าพี่ชายจะโดนไม้เรียวฟาดเอ๊า…ฟาดเอาหรือเปล่าเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกใจคุณย่า ประวิทย์บอกว่าอาจจะโดนหนักกว่านั้นก็ได้ ถามอาทิจว่าได้ยินอย่างนี้แล้วจะสู้หรือจะถอย

อาทิจทำหน้าขรึมบอกว่าก็คงต้องถอย ทำทุกคนห่อเหี่ยวไปหมด แต่ไม่ถึงอึดใจเขาก็โพล่งออกมาว่า

“ยอมถอยมายืนให้เต็มสองเท้าแล้วใส่เกียร์เดินหน้าแบบสู้ไม่ถอย ผมจะสู้เพื่อพวกเราทุกคนครับ”

ประวิทย์ยิ้มเต็มหน้า พูนทรัพย์ชื่นอกชื่นใจจนนํ้าตาคลอ นิตยากับภาณีกระโดดกอดกันกลม ส่วนน้องๆคนอื่นๆพากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจกันทุกคน ประวิทย์เสนอว่า แบบนี้ต้องเลี้ยงส่งกันหน่อย บอกลูกๆให้ไปเก็บไข่มาต้มพะโล้ ส่วนพูนทรัพย์ก็จะผัดผักและตำนํ้าพริกให้

อาทิจเอาจดหมายคุณย่ามาแนบอก พึมพำอย่างมีความสุข “คุณย่าของอาทิจ…” เขายิ้มอย่างปลื้มปีติ อยากตะโกนบอกคุณย่าตั้งแต่ที่นี่ว่า นี่คือโอกาสและความหวังที่คุณย่าหยิบยื่นให้ตนกับน้องๆทุกคน…

ooooooo

บ่ายของอีกวัน อาทิจก็ออกเดินทางโดยรถสาย “กรุงเทพฯ–เชียงใหม่–ฝาง” แต่พอไปถึงเชียงใหม่ ต้องหารถต่อไปฝาง เขาเดินไปถามเจ้าของรถ แต่ไม่รู้จะบอกปลายทางอย่างไร เลยบอกไปว่าต้องการไปสวนคุณย่า

แล้วเขาก็แปลกใจที่เจ้าของรถจูงมือไปที่รถ บอกว่ารถตนผ่านสวนคุณย่าพอดีเลย เขาถามว่ารู้จักคุณย่าด้วยหรือ สวนคุณย่า…ชื่ออะไร…อาทิจบอกไม่ถูก แต่เจ้าของรถบอกว่าแค่นี้ก็รู้แล้ว บอกว่าสวนคุณย่าทุกคนรู้หมด บอกอาทิจให้ไปรอที่รถ ตนไปหาผู้โดยสารอีกสักสองสามคนแล้วออกได้เลย

อาทิจจะข้ามถนนไปที่รถ พอถึงกลางถนนเขาช็อกยืนขาแข็งเพราะรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวโค้งมาอย่างแรงและพุ่งเข้าหาเขาราวกับพายุ ซํ้าไม่มีทีท่าจะเบรกด้วย

เสียงอึ่งกับพันคนร้องให้เบรก…เบรก แต่ไม่เป็นผลรถหักเล่ียงวืดไปอีกทาง กระนั้นก็ยังเฉี่ยวจนอาทิจล้มลง

พอรถจอด ดรุณีก็เปิดประตูรถลงมา ตามด้วยน้าแก้วที่รีบไปดูอาทิจที่ค่อยๆลุกขึ้น ถามว่าเป็นอย่างไรบ้างจะไปโรงพยาบาลไหม ดรุณีเดินเข้ามาช้าๆด้วยสีหน้าที่สำนึกผิด เธอยืนดูอาทิจที่พยายามลุกขึ้นอยู่ข้างหลังเขา พอเขาลุกขึ้นมาได้ก็เสียหลักโงนเงนล้มไปข้างหลัง

เจ้ากรรม! เขาล้มทับดรุณีเข้าเต็มๆ จมูกโด่งๆไปชนเอาแก้มเรื่อแดงๆของเธอเข้าอย่างจัง ทั้งคู่จ้องหน้ากันวินาทีเดียวต่างก็ตาเบิกโพลงเมื่อจำกันได้ ดรุณีผละออกจากอาทิจ น้าแก้วบอกให้ขอโทษเขาเสีย ดรุณีเปิดฉากด่าเปิง…

“เรื่องอะไรหนูจะขอโทษ นายนี่ซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนข้ามถนนนี่ก็คงไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนเคย แล้วไอ้เรื่องชอบลวนลามลามกนี่ก็เหมือนกัน โดนรถชนขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาแต๊ะอั๋งผู้หญิงอีก”

อาทิจโต้ว่าเธอนั่นแหละไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าตนไม่กระโดดหลบมีหวังโดนชนเต็มๆ อึ่งกับพันเห็นด้วย อาทิจใส่ต่ออีกว่า ตนจะรู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ข้างหลัง ถ้าคิดจะลวนลาม ตนล้มทับซึ่งหน้าเลยไม่ดีกว่าหรือ อึ่งกับพัน พูดพร้อมกันว่า “มีเหตุผล” อาทิจลุยต่ออีกว่าขับรถชนตนแทนที่จะขอโทษ กลับมาโยนความผิดให้ตนอีก ทำอย่างนี้ถูกหรือ คราวนี้ทั้งน้าแก้ว อึ่ง และพัน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นั่นสิ คุณณี…”

พอดีเจ้าของรถคนนั้นพาผู้โดยสารมาคนหนึ่งเห็นดรุณีกับน้าแก้วก็ร้องทักอย่างคุ้นเคยมาก แล้วหันบอกอาทิจว่า

“แหมโชคดีจังน้อง คุณณีเอารถที่สวนคุณย่ามาพอดี เดี๋ยวน้องอาศัยไปกับคุณณีก็แล้วกันนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ” แล้วหันบอกดรุณี “ฝากน้องเขาไปด้วยนะครับคุณณี เขาจะเข้าไปที่สวนคุณย่าน่ะครับ” เขาบอกอาทิจว่าคนที่สวนคุณย่าใจดีทุกคนแหละ เขายกมือไหว้น้าแก้วกับดรุณี แล้วพาผู้โดยสารที่เพิ่งไปสอยมาได้ไปที่รถ

อาทิจมองหน้าดรุณีที่ยังทะเลาะกันไม่เสร็จ แต่กลายเป็นเขาต้องอาศัยรถไปด้วย เธอตวัดหางตาแล้วเชิดใส่อย่างไม่แยแส

ooooooo

ธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละคร ธรณีนี่นี้ใครครอง 

———————

รายชื่อนักแสดง ธรณีนี่นี้ใครครอง :

ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ณเดชน์ คูกิมิยะ รับบท อาทิจ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละครอุรัสยา เสปอร์บันด์ รับบท ดรุณี
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย รับบท วิยะดา
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร สาวิตรี สุทธิชานนท์ รับบท ตุลยานี
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร วิวิศน์ บวรกีรติขจร รับบท เวทางค์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เฉลิมพล ทิฆัมพรธีระวงศ์ รับบท อึ่ง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร กนกพงศ์ อนุรักษ์จรรยง รับบท พัน
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เอ เชิญยิ้ม รับบท ต๊อด
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ดวงตา ตุงคะมณี รับบท ย่าแดง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ดารณีนุช โพธิปิติ รับบท น้าแก้ว
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร รุ้งทอง ร่วมทอง รับบท วิไลลักษณ์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เวนย์ ฟอลโคเนอร์ รับบท ประเวทย์
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร เบญจพล เชยอรุณ รับบท ไพฑูร
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ตี๋ ดอกสะเดา รับบท เกร็ง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ศิรินุช รับบท เพชรอุไร รับบท คำมา
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ศานติ สันติเวชกุล รับบท สิงห์ทอง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร จาตุรงค์ โกลิมาศ รับบท ทองใบ
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร วีรชัย หัตถโกวิทย์ รับบท ยรรยง
ธรณีนี่นี้ใครครอง ในละคร ขวัญชีวา เอี่ยมสะอาด รับบท จิ๋วแจ๋ว

Image

ดูละครธรณีนี่นี้ใครครองย้อนหลัง ทั้งหมดที่นี่

ละครย้อนหลัง > ละครย้อนหลังช่อง3 >  ธรณีนี่นี้ใครครอง

ธรณีนี่นี้ใครครอง เรื่องย่อละครธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 1

 

Tags: , , , , , , , , , , , , ,